กากี : เพื่อนแพง

เรื่องสั้น

-๑-

แดดจัดลมพัดแรง เธอใช้มือป้องตาแหงนมองท้องฟ้า จุดเล็กสีเขียวปีกแมลงเริ่มขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นพญานกถลาปีกร่อนเนิบนาบลงบนลานกว้างใหญ่ตรงหน้า ช่างภาพโทรทัศน์สองคนยกกล้องขึ้นประทับบ่าแล้ววิ่งเข้าหา

ปีกกว้างใหญ่สยายออกเผยร่างล่ำสันในชุดแนบเนื้อเน้นสัดส่วนสะดุดตา เธอระสายตาไปทั่ว พร้อมกับกระชับไมโครโฟนในมือชื้นเหงื่อ เดินเข้าไปหาแล้วยิงคำถาม

“..ครั้งนี้ …ความเร็วและความสูงเท่าไร.. เป้าหมายตรงตามที่คาดไว้หรือไม่..”

ริมฝีปากเต็มอิ่มแดงจัดของพญานกเผยอขึ้น เขาจ้องหน้าเธอนิ่งนานเต็มตา ชะงักเงียบไปเล็กน้อย ก่อนตอบชัดเจนด้วยน้ำเสียงเข้มซึ่งคนที่เคยชินเท่านั้นที่พอจะจับความทะยานแรงของอารมณ์ได้

“..ผมไม่ทราบ..ต้องเช็คดูอย่างละเอียดก่อน..

..ผมต้องการให้กล้องโทรทัศน์รอที่นี่ ส่วนคุณตามผมมาในห้องทำงาน..

” เสียงนั้นมีอำนาจเพียงพอให้คนอื่นหยุดนิ่งและปฏิบัติตาม แต่สำหรับหญิงสาว เธอยังคงพยายามต่อรอง

“..ที่จริง บรรณาธิการข่าว อยากขอสัมภาษณ์คุณเป็นการส่วนตัว..”

มือใหญ่แบบคนกร้านงาน ทิ้งอุปกรณ์ในมือลงพื้นค่อนข้างแรง ยกสองแขนขึ้นกอดอกแล้วเดินเข้าประชิดตัวเธอ ร่างสูงใหญ่ของเขาแทบจะบดบังเธอจนมิด เธอรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าพญานกพร้อมที่จะสยายปีกกางออกได้ในทุกขณะด้วยโทสะ แดดทอจับเส้นผมสีทองที่กำลังปลิวไสวในสายลมอุ่น ควรเป็นภาพที่งดงามน่าชมนัก แต่หญิงสาวกลับรู้สึกเย็นสันหลังวาบ

“..ผมจะไม่ให้สัมภาษณ์ใคร นอกจากคุณ ถ้าเขาอยากได้ข่าว ให้รอข้างนอก.”

เธอเดินตามเขาเข้าไปที่สำนักงานทันสมัยซึ่งอยู่สุดลานกว้างอย่างว่าง่าย ผ่านป้ายใหญ่ชัดเจนที่เขียนไว้ว่า ” เดอะซีกัล ” ห้องทำงานขนาดย่อมไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักจากครั้งสุดท้ายที่เธอเคยเห็น เช่นเดียวกับเจ้าของห้อง เธอปรายตาโดยรอบเห็นมู่ลี่บังแดดถูกดึงลงปิดสนิท บรรยากาศจึงดูทึบทึมซึมเซา

“..เลยมื้อกลางวันมานานแล้ว นมอุ่นสักแก้วมั้ย..” เขาถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน หลังจากยืนมองด้านหลังของหญิงสาวอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะไหล่และแขนเนียนตรงหน้า หญิงสาวหันมาเผชิญหน้าทันทีเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลเข้าร่างกายรวดเร็ว

“..กาแฟก็ได้..” เธอมองเครื่องทำกาแฟตรงหน้า และตอบเขาไปเพียงเพื่อให้ได้รักษาระยะห่าง ระหว่างร่างกายเขาและเธอเท่านั้น หญิงสาวยกมือชื้นเย็นเฉียบขึ้นลูบต้นแขนตนเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่า

เธอเสไปมองภาพที่ติดไว้เต็มฝาผนัง เครื่องร่อนแบบต่างๆ รวมทั้งภาพผลงานความสำเร็จที่ชายหนุ่มคิดค้นและออกแบบขึ้นเอง ในช่วงขวบปีที่ผ่านมาตลอดชายแดนสวิสและฝรั่งเศสต้องร่ำลือถึงการทำสถิติอันยิ่งยงของเขา

แก้วใส่นมสดยื่นมาให้ตรงหน้าแทนถ้วยกาแฟ

“..นมอุ่น..ดื่มเสียซิ..”

“..ไม่..ฉันขอกาแฟ…” หญิงสาวตอบห้วนพลางเบือนหน้าหนี

แต่ชายหนุ่มไม่สนใจคำปฏิเสธนั้น กลับดันแก้วนมสดมาจนชิดริมฝีปากของเธอ หญิงสาวจ้องหน้าเขาอย่างท้าทายพร้อมพูดเสียงกร้าวว่า

-๒-

“..คุณก็รู้ดีว่า..ฉันทนให้ใครบังคับไม่ได้..”

พญานกสาวเท้าก้าวเข้ามาประชิดตัวเธอ กระแทกแก้วลงบนโต๊ะสุดแรง ตาขุ่นจัดด้วยโทสะ สยายปีกแล้วกระชากหญิงสาวเข้าไปในวงแขน รัดร่างของเธอไว้อย่างรุนแรงเหนียวแน่นเกินกว่าที่เธอจะดิ้นรนหลีกหนี

เขากดไหล่เธอลงคุกเข่ากับพื้น

ไม่แยแสเสียงร่ำไห้คร่ำครวญจากความเจ็บปวด รวดร้าว โศกเศร้า ซ้ำซาก ตรงหน้า

น้ำนมสดสีขาวไหลนองเต็มโต๊ะ เปรอะเปื้อนปลายปีกเครื่องร่อนสีชมพูอมเลือดฝาดที่วางพิงอิงอยู่เคียงข้าง

แดดจัด ลมพัดแรง เหนือชะง่อนผาสูง พญานกใช้เชือกกระหวัดรัดเอวหญิงสาวไว้แน่น ร้อยห่วงเหล็กซ้อนทับพร้อมกับคล้องด้วยอุปกรณ์ของเครื่องร่อนอย่างรัดกุม มือใหญ่ทำงานรวดเร็ว แตะต้องทุกสิ่งตรงหน้าอย่างรุนแรงตามอารมณ์ โดยไม่ใส่ใจกับร่องรอยช้ำที่ต้นแขนและวงหน้าซีดขาวของเธอ

หญิงสาวไม่เคยแม้แต่คิดจะเหยียบย่างขึ้นมาบนเนินแห่งนี้เธอเกลียดมัน และเขารู้ดี

ภาพบ้านหลังเล็กกระจ้อยร่อยกับเส้นทางคดเคี้ยวไปมาบนผืนแผ่นดินอันเป็นที่ราบกว้างไกลสุดสายตาเบื้องล่างทำให้หญิงสาวรู้สึกวิงเวียนมากขึ้น

อาการขยับถอยหลังทำให้เธอแนบร่างกับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“..สูงเท่าไหร่..” เธอพึมพำถาม

“..สูงที่สุด และ ไกลที่สุด เท่าที่เครื่องร่อนนี้จะพาเราไปได้..”

น้ำเสียงกระชากแกมบังคับขู่เข็ญมีผลทำให้นัยน์ตาถือดีของหญิงสาวมีน้ำตาคลอคลอง แต่น้ำเสียงยังคงเด็ดเดี่ยว เพียงเพื่อเชือดเฉือนเขาให้เจ็บปวดบ้าง

“..เรามีวิทยุติดต่อกับภาคพื้นดินใช่มั้ย..ฉันต้องการติดต่อบรรณาธิการข่าว”

เธอเห็นชัดว่า ตาสีฟ้าเริ่มเป็นสีขุ่นจัดตามอารมณ์แรง เขาเปิดปุ่มวิทยุที่ผูกติดไว้กับสายโยงปีกของเครื่องร่อน แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีนัยน์ตาคู่นั้น

เสียงทุ้มสดใสดังออกมาจากเครื่องวิทยุ

“..เฮ้..ที่รัก..ขอโทษที..ผมพูดโทรศัพท์นานไปหน่อย ข่าวด่วนที่เราต้องทำให้เสร็จคืนนี้ เขาตัดสินใจกันไม่ได้ ต้องรอผมคนเดียว ออกมาจากรถอีกที เขาบอกว่าคุณขับรถขึ้นมาบนเนินนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะยอมลองเครื่องร่อนใหม่ล่าสุดด้วยตัวเอง คุณบอกเสมอว่า คุณไม่มีวันจะขึ้นไปบินอยู่บนท้องฟ้าแบบนั้นแน่ ..

…ว่าแต่..ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม…” น้ำเสียงตอนท้ายเจือความห่วงใยอย่างที่เคยทำอยู่เป็นนิจ

“..ก็ดี..แต่เขายังไม่ยอมเซ็นใบหย่าให้ฉัน..”

สัญญาณวิทยุเงียบหายไปช่วงหนึ่ง

“..ไม่เป็นไรน่า..ที่รัก..คุณก็รู้ว่าผมเข้าใจดี..ถึงแม้ไม่มีกระดาษใบนี้ เราก็มีความสุขกันดีอยู่แล้วนี่นา..ห่วงเรื่องงานก่อนดีกว่า..ว่าแต่ว่า..เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นใช่มั้ย..บอกให้เขาดูแลคุณให้ดีนะ..อย่าให้คุณลงมาคนเดียว..ให้เขาร่อนลงมาด้วยกัน..”

-๓-

แรงลมผสมแรงมือกระชากสายโยงของเครื่องร่อนให้ดึงตึงสูงขึ้น ทำให้วิทยุติดต่อที่ผูกติดไว้กับสายนั้นถูกดึงให้สูงขึ้นไปด้วย เธอเงยหน้ามองวิทยุที่ติดอยู่กับเชือกโยงอย่างขัดใจ เสียงสัญญาณจากภาคพื้นดินยังคงดังโหวกเหวก

“..เฮ้..ที่รัก…ผมจะเร่งสัญญาณรับภาคพื้นดิน..ไม่ต้องห่วง..ผมได้ยินคุณแน่..

โชคดีนะ..เดี๋ยวพบกัน..”

แต่ดูเหมือนพญานกจะไม่สนใจ กลับสยายปีกสีเขียวเข้มสะบัดรับแรงลม เส้นผมสีทองที่ปลิวไสวทำให้เขาดูเสมือนผู้มีอิทธิฤทธิ์ เขาแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้าเต็มตา

ทุกเส้นสายของเชือกโยงตึงกระชับตีรับกันไปมา เขาประกบร่างเข้าสัมผัสแนบแน่นตลอดด้านหลังของเธอ ริมฝีปากแดงอุ่นจัดแนบริมหู เสียงดังก้องแข่งกับเสียงลม

“..พอปีกรับลมเต็มที่..ผมให้สัญญาณบอกให้วิ่ง..เราจะต้องวิ่งไปข้างหน้าให้พร้อมกัน ไม่ต้องกลัว เชื่อใจผม เมื่อถึงหน้าผาเครื่องร่อนจะเชิดหัวขึ้นเองโดยอัตโนมัติ..”

แขนล่ำสันโอบเอวเธอเข้ามากระชับ ความอุ่นตอกย้ำการครอบครอง ก่อนที่เขาและเธอจะยกแขนขึ้นยึดสายโยงไว้แน่น ลมแรงจัดราวพายุโหมหวนมาอีกครั้ง เขาและเธอออกวิ่งไปข้างหน้าสุดกำลัง..

เพียงเสี้ยวนาทีก่อนถึงชะง่อนผา ลมสะบัดรุนแรง กล้ามเนื้อในร่างกายทุกส่วนของทั้งสองกระตุกราวกับจะหยุดหายใจไปเป็นครู่ ฉับพลันพลังนั้นแปรไปเป็นแรงไหวกระจายตลอดช่องท้อง ขณะที่เท้าทั้งสองพ้นจากชะง่อนหินสุดท้ายของหน้าผาสูง

สรรพสิ่งเงียบสงบ…เสมือนทั้งโลกสยบให้เขาและเธอ
.
.
.
แดดอ่อน ลมละมุนไล้ผิวกายเบาหวิว ทั้งร่างผ่อนคลายราวปราศจากน้ำหนัก เธอลืมตาขึ้นช้าช้า เพื่อรับภาพศิลป์แห่งชีวิตภาพใหม่ในสายตา

พื้นพิภพเคลื่อนตัวผ่านไปช้าช้า

ช้าเท่าที่ใจตอบสนอง

เสมือนต่อรองกับท้องฟ้า

ขอจงโอบอุ้มข้าฯทั้งสองไว้เฉกนี้..ชั่วนิจนิรันดร์

” เห็นแนวชายแดนสวิส- ฝรั่งเศสมั้ย บินอยู่ระหว่างสองประเทศแบบนี้ กฎหมายอะไรก็มาบังคับผมไม่ได้ ผมจะไม่ยอมเซ็นชื่อไม่ว่าในกระดาษอะไรทั้งนั้น..”

เสียงดังขึ้นด้วยอารมณ์คุกรุ่นภายใน หญิงสาวเงียบกริบอย่างเคยชินและพอจะคาดการณ์ได้ในท่าที อาการนิ่งของเธอได้ผลชะงัด เขาสงบลง

ชายหนุ่มซุกใบหน้าลงกับเส้นผมนุ่มหอมละไมตรงหน้าอย่างโหยหา

“..ผมจำไม่ได้แล้วว่า..ทำไมเราต้องจากกัน..คุณล่ะ..”

น้ำเสียงตัดพ้อแบบที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้เธอเอี้ยวตัวไปหาเพื่อ พยายามจะจ้องมองตา แต่เผอิญเธอเหลือบมองไปเห็นหยดเลือดไหลลงจากนิ้วมือของเขา

“..ไม่เป็นไรหรอก เชือกบาดมือแบบนี้ให้หมอเย็บเข็มสองเข็มก็คงหาย ตอนเครื่องร่อนกำลังจะเชิดหัวขึ้น ลมเกิดเปลี่ยนทิศทางกระทันหัน ผมต้องยึดเชือกไว้..ผม..ห่วงคุณนะ …คุณกลัวหรือเปล่า..”

-๔-

เธอไม่ตอบ แต่จับมือของเขาเข้ามาใกล้ ใช้กลีบปากและลิ้นชื้นนุ่มอุ่นเน้นเนิบนาบไปตามนิ้วมือที่บาดเจ็บของเขา

สัญญาณวิทยุดักจับลมหายใจของเขาและเธอเป็นระยะ

ความเค็มปร่าอุ่นจัดรัดรึงเธอจมดิ่งกับความขมขื่นของช่วงเวลาในอดีต พร้อมกับที่มืออีกข้างของชายหนุ่มเริ่มลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของเธออย่างเทิดทูนคุณค่าของช่วงเวลาในปัจจุบัน ร่างทั้งสองร่างแนบกระชับกันและกัน

กระแสลมเย็นจัดจากเบื้องสูงของท้องฟ้ามิอาจเบียดแทรกกลางระหว่างความร้อนวาบของแรงปราถนา

ความรัก และ ความชิงชัง ยังคงต่อรองกันต่อไป

พญานกกัดฟันแน่นเพื่อมิให้เสียงแห่งความเจ็บปวดเล็ดลอดออกมา เมื่อหญิงสาวขบฟันย้ำลงบนบาดแผลสดที่นิ้วมือของเขา ก่อนที่เสียงสะอื้นของเธอจะดังสะท้อนก้องไปในอณูอากาศ เพียงเพื่อเธอจะได้ตอกย้ำกับตนเองด้วยคำถามเดิมเดิมว่า

“..ทำไมฉันจึงจดจำความเจ็บปวดได้แจ่มชัดถึงเพียงนี้..”

สัญญาณวิทยุยังคงทำงานต่อไปอย่างซื่อสัตย์…

บรรณาธิการ ข่าวหนุ่ม วิ่งมารับเธอทันทีที่เครื่องร่อนถึงพื้นดิน เขาถอดแจ็คเก็ตที่สวมไว้ออก ยกขึ้นพาดคลุมไหล่ให้และประคองหญิงสาวไว้ในวงแขน เขาเห็นว่าเธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว กอดอกแน่นและพร้อมจะออกก้าวเดิน

พญานกสาวเท้าเข้าใกล้ ยึดข้อมือหญิงสาวไว้ เพื่อต่อรอง

“..เดี๋ยวก่อน..ผมรู้.. คุณจำได้ว่า..ทำไมเราจึงต้องจากกัน..

..แต่..ผมขอถามคุณอีกเพียงครั้งเดียวว่า

เราพอจะมีโอกาสพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อีกสักครั้งได้ไหม..”

หญิงสาวหยุดนิ่ง จ้องมองชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างแน่วแน่

ความเจ็บปวดรวดร้าวยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย..

แต่คลับคล้ายจะจางลงบ้าง …

ระหว่างมุมมองของชีวิตที่เปลี่ยนไป

หญิงสาวได้ยินเสียงตนเองตอบไปว่า

“..ช่วยดาวน์โหลดสเปคเครื่องร่อนรุ่นใหม่ส่งให้ฉันทางเมล์นะ….”