หญิงกลางคนละมือจากน้ำพริกที่กำลังตำอยู่เมื่อได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ที่หน้าบ้าน แต่เมื่อนางเดินออกมา เสียงนั้นก็ห่างออกไปตามถนนลาดยางเสียแล้ว นางหรี่ตาเพ่งมองร่างที่กำลังเดินเข้ามายังบริเวณบ้าน เมื่อเห็นว่าเป็นมณทิรา บุตรสาวซึ่งไปทำงานอยู่กรุงเทพฯ จึงหยุดยืนคอยที่ระเบียง
เด็กสาววิ่งขึ้นบันไดมาอย่างกระฉับกระเฉง วางกระเป๋าลงแล้วยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หวัดดีค่ะแม่”
“เป็นยังไงบ้างยายมณ ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันตั้งครึ่งค่อนเดือน กรุงเทพฯก็อยู่แค่นี้” นางพูดพลางโอบกอดบุตรสาว
“ก็อาทิตย์ที่แล้วมณไประยองกับเพื่อนที่ทำงานนี่ ก็โทรมาบอกแม่แล้วนี่คะ”
“เออ…นั่นสิ แม่ก็ลืมไป” เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามต่อว่า “เมื่อกี้แม่ได้ยินเสียงรถเครื่องที่หน้าบ้าน ใครมาส่งเรอะ”
“อ๋อ…พี่คมจ้ะแม่ ทำงานอยู่ฝ่ายเดียวกัน”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ชวนเพื่อนเขาขึ้นมาทานน้ำทานท่าบานบ้านก่อนล่ะลูก”
“เขาจะรีบไปธุระน่ะค่ะ ก็เลยแวะมาส่งมณแล้วออกไปเลย”
พูดพลางยกกระเป๋าเดินเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนที่จะหันกลับมาถามว่า
“แล้วพ่อกับตาล่ะคะ”
“ตาเขาไปคุยกับหลวงปู่ที่วัด ส่วนพ่อเอ็งเห็นบอกว่าจะไปริมคลองน่ะ ขานั้นเขาอยู่เฉยๆไม่เป็นหรอก” นางส่ายหน้าคล้ายเอือมระอา แต่สีหน้ากลับเจือด้วยรอยยิ้ม
.
.
.
หลังเก็บของเสร็จ เธอก็วิ่งไปทางริมคลองตามที่แม่บอกทันที นายย้อนพ่อของเธอ เป็นชาวสวนส้มโอที่มักจะมีกรรมวิธีใหม่ๆทางการเกษตรมาใช้อยู่เสมอ แม่เคยเล่าให้ฟังว่าพื้นเพเดิมของพ่อเป็นชาวสวนอยู่ทางสมุทรสงคราม มาเป็นลูกจ้างของตาตั้งแต่สมัยแม่ยังสาว ด้วยความขยันขันแข็ง ความมีน้ำใจตลอดจนมีหัวคิดที่ก้าวหน้าจึงกุมหัวใจของตาและแม่ได้ไม่ยากนัก ดังนั้นทำงานเพียงไม่กี่ปี ก็ได้เลื่อนฐานะจากลูกจ้างมาเป็นลูกเขย
“พ่อแกนะ เมื่อก่อนเป็นเหมือนคนเถื่อนเลยล่ะ” แม่เคยเล่าให้ฟังในวันหนึ่ง “ตอนมาอยู่ที่นี่นะ บัตรเบิดอะไรก็ไม่มีสักอย่าง เงินทองก็ไม่มีสักบาท โอ๊ย…โดยเฉพาะเรื่องบัตรประชาชนน่ะ สมัยนั้นลุงกำนันต้องช่วยวิ่งเต้นแทบตายกว่าจะมีตัวตนอย่างทุกวันนี้ได้”
“แล้วพ่อเขาไม่มีญาติที่อื่นอีกหรือคะ”
“ไม่รู้สิ เขาบอกว่าไม่ญาติพี่น้องที่ไหนอีกเลย ที่แม่กลองก็ไม่มีใครแล้ว” นางยกขันน้ำขึ้นดื่ม
.
.
.
ตะวันยามใกล้สิ้นบ่ายอ่อนแสงลงเรื่อยๆ เด็กสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามทางดินที่รกเรื้อด้วยต้นไม้เล็กๆสูงประมาณเข่าอยู่สองข้างทาง ลึกเข้าไปเป็นสวนส้มโอที่ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเลี้ยวพ้นดงมะขามเทศ ก็เห็นพ่อของเธอเดินมาจากทางริมคลอง เขาโบกมือและชูข้องใส่ปลาขึ้นเป็นความหมายว่า ‘เย็นนี้มีปลาไปให้แม่เอ็งแกงกินแล้ว’ รอยยิ้มของพ่อช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่น ตัดกับร่างกายที่กร้าวแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะทำงานหนักมาตลอดชีวิต
“เป็นไงบ้างลูก นึกว่าอาทิตย์นี้จะไม่มาซะแล้ว”
เธอรับข้องใส่ปลามาจากมือพ่อ ปลาตัวเขื่องดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน”
“ทีแรกก็ว่าจะไม่มาหรอกค่ะ แต่คิดถึงพ่อม้ากมากเลยตัดใจมา”
ชายกลางคนหัวเราะพลางลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู
“เงินหมดล่ะสิ ถึงได้คิดถึงพ่อม้ากมาก” เขาทำเสียงสูงเลียนแบบลูกสาว ขณะที่สายตามองดูดวงตะวันที่กำลังจะลับยอดไม้ “วันนี้มาถึงเร็วนี่ งานเสร็จก่อนเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ วันนี้พี่คม…พี่ที่ทำงานฝ่ายเดียวกันน่ะค่ะเขามาส่ง เขาจะไปธุระที่ราชบุรี ก็เลยผ่านบ้านเราพอดี เนี่ย…พี่คมน่ะ เขาเรียนจบมาทางพืชสวนด้วยนะคะ เป็นคนแม่กลองเหมือนพ่อด้วย ถ้าพ่อได้คุยต้องได้ความรู้ใหม่ๆแน่เลย”
นายย้อนพยักหน้าในเชิงรับรู้ แล้วถามขึ้นว่า
“วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้วนี่”
“ยี่สิบเมษาค่ะ ทำไมหรือคะ”
ผู้เป็นพ่อไม่ตอบ สีหน้าคล้ายครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง แต่ขณะที่มณทิราขยับปากจะถามเขาก็ชิงถามเสียก่อนว่า
“วันนี้แม่เอ็งตำน้ำพริกอะไรกินกับข้าววะ?”
.
.
.
วันศุกร์ถัดมา…คมศิลป์มาส่งมณทิราที่หน้าบ้านดังเช่นศุกร์ที่แล้ว เธอไม่ได้เชื้อเชิญ เขาเข้าบ้านเนื่องจากพ่อแม่และตาของเธอออกไปงานศพยังไม่มีใครกลับ เขาเองก็มิได้ดึงดันอะไร ไว้โอกาสหน้าค่อยทำความรู้จักกับญาติๆของเธอ
เมื่อออกสู่ถนนใหญ่ ตะวันก็ลับขอบฟ้าเสียแล้ว ความเร็วรถจึงค่อยๆเพิ่มตามลำดับ เบื้องหน้ามีรถสิบล้อแล่นแซงกินเลนออกมา สายเกินกว่าที่จะหลบพ้น ด้วยความตกใจเขาหมุนแฮนด์ไปทางซ้ายเต็มที่ ทั้งรถทั้งคนพุ่งลงสู่คลองด้านข้าง ชายหนุ่มตะเกียกตะกายอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อดีดตัวพ้นน้ำได้ เขารีบเหวี่ยงหมวกกันน็อคทิ้งและพยายามว่ายเข้าหาฝั่ง ลำคลองนี้กว้างและลึกกว่าที่คิด ขณะเหนื่อยอ่อนเต็มที หูก็แว่วเสียง “จับไว้” พร้อมไม่ไผ่ยาวลำหนึ่งยื่นเข้ามาฉุดดึงให้พ้นจากอ้อมกอดความตาย
เขานอนหอบหายใจอยู่ริมฝั่ง กล่าวคำขอบคุณอย่างแผ่วล้า ผู้ที่มาช่วยเขาเป็นชายกลางคนร่างกำยำ ไม่ใส่เสื้อ มีเพียงกางเกงขาก๊วยและผ้าขะม้าเคียนเอวไว้
“ไปไงมาไงถึงได้ลงไปเล่นน้ำตอนนี้ล่ะวะไอ้หนุ่ม” ชายกลางคนร้องถามอย่างอารมณ์ดี สำเนียงเหน่อเล็กน้อยเช่นเดียวกับชาวบ้านแถบนี้ “ดีว่ามีคนมาตัดไผ่ทิ้งไว้นะ ไม่งั้นข้าคงต้องโดดเอง”
ชายหนุ่มยังคงหอบหายใจถี่ๆ แต่ก็พยายามตอบว่า
“ผม…ผมถูกรถเฉี่ยวตกน้ำน่ะลุง”
“รถ?” ชายผู้นั้นทวนคำด้วยความงุนงง “รถที่ไหนของเอ็งวะ?”
คมศิลป์ลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ สภาพรอบข้างมืดสนิท ไม่มีแสงไฟฟ้าเล็ดลอดมาแม้แต่น้อย ฝั่งตรงข้ามซึ่งควรจเป็นถนนที่มีรถวิ่งกันขวักไขว่กลับถูกแทนที่ด้วยดงไม้หนาทึบ มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอยเหนือยอดไม้และแสงจากตะเกียงที่ว่างอยู่ข้างกายชายกลางคนเท่านั้นที่คอยขับไล่ความมืด
“รถอะไรของเอ็งจะมาวิ่งแถวนี้” เสียงชายกลางคนกังวานขึ้นอีก คมศิลป์รู้สึกหัวสมองหนักอึ้ง แสดงว่าเขาว่ายลึกเข้ามาในสวนหรือนี่
“ตรงนี้มันที่ไหนล่ะลุง”
ชายกลางคนบอกชื่อหมู่บ้านและตำบลออกมา เป็นตำบลเดียวกับที่มณทิราอาศัยอยู่
“แล้วเอ็งล่ะ ไปไงมาไงถึงมาอยู่แถวนี้”
“ผมจะกลับบ้านที่สมุทรสงครามน่ะลุง จะขึ้นรถได้ที่ไหน” เขาไม่อยากต่อความยาวเรื่องที่ว่าทำไมเขาจึงตกน้ำ
แสงตะเกียงสาดส่องทำให้ใบหน้าของตาลุงดูลึกลับยิ่งขึ้น คมศิลป์สยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ จะด้วยความกลัวหรือฤทธิ์ลมกลางคืนก็ไม่อาจรู้ได้
“เห็นท่าจะไม่มีรถละ ป่านนี้” ชายกลางคนตอบโดยไม่เสียเวลาขบคิด “เอางี้ คืนนี้ไปนอนบ้านข้าก่อนแล้วกัน อยู่แค่ปลายสวนนี้เอง ไว้วันพรุ่งค่อยหารถไปแม่กลองกัน”
ชายหนุ่มพลิกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา แต่นาฬิกาหยุดเดินเสียแล้ว รถจักรยานยนต์ของเขายังคงจมอยู่ใต้น้ำ ไว้พรุ่งนี้ค่อยขอแรงชาวบ้านมาช่วย ลุงแกคงพอมีคนรู้จักพอไหว้วานได้อยู่หรอก คิดได้ดังนี้เขาจึงรับคำจะไปค้างบ้านแก ตาลุงยิ้มเห็นฟันขาวตัดกับผิวดำกร้าน เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยไมตรีและน้ำใจ แกหยิบตะเกียงเดินออกหน้า ปากก็ฮัมเพลงลูกทุ่งยุคเก่าที่เขาไม่ได้ยินมานานแล้ว
.
.
.
เดินไม่ถึงชั่วน้ำเดือด บ้านทรงไทยหลังกะทัดรัดก็ปรากฏแก่สายตา หมาพันธุ์ไทยสีดำส่งเสียงเห่าพร้อมวิ่งรี่เข้าหา จนตาลุงที่เขาทราบเมื่อครู่ว่าชื่อโพล้งต้องจุ๊ปากห้ามปราม
“จุ๊ๆ ไอ้นิล…ข้าเองเว้ย” แกวางตะเกียงลงข้างๆหนังสือพิมพ์บนแคร่หน้าบ้าน ไอ้นิลกระดิกหางวิ่งวนรอบตัวแก แต่ยังส่งเสียงคำรามมาทางเขา
“ไอ้นิลเห่าอะไรจ๊ะพ่อ” เสียงเด็กสาวไต่ถามมาจากบนเรือน ทำท่าจะเดินลงบันไดมา แต่เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยเธอก็ชะงักอยู่ที่หัวบันได มองลงมาด้วยความสงสัย
“ไอ้หนุ่มนี่มันหลงทาง ข้าเลยชวนมันมาพักที่นี่ เอ๊…นี่มันหนังสือพิมพ์ใครวะอีแพร” ประโยคหลังแกถามลูกสาวด้วยความประหลาดใจ
“สงสัยของลุงกำนันมั้งจ๊ะ เมื่อตอนเย็นเห็นแกถือดินมาหาพ่อ ก็พอดีพ่อออกไปวางเบ็ดเสียก่อน แกเลยนั่งคุยอยู่ครู่หนึ่ง สงสัยคงลืมเอาไว้”
ลุงโพล้งไม่สนใจหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นอีก ไม่มีความจำเป็นสำหรับคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อย่างแก แต่ขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นกลับทำให้คมศิลป์ตื่นตระหนกที่สุดในชีวิต
เขาหยิบมันขึ้นมาดู จากแสงตะเกียงสาดส่อง ทำให้เห็นด้านล่างของชื่อหนังสือพิมพ์พิมพ์วันที่ไว้ว่า
“27 เมษายน 2517”
เขาวิ่งออกจากบ้านไปราวคลุ้มคลั่งโดยไม่สนใจสายตาของลุงโพล้งและลูกสาว ฝ่าความมืดตรงไปยังที่ที่เขาพบกับแกเป็นครั้งแรก พุ่งตัวลงสู่ใต้ผิวน้ำก่อนที่จะดีดตัวขึ้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจึงดำลงไปและโผล่ขึ้นอีก รอบข้างยังคงเป็นสวนเปลี่ยวมืดทึบ หามีถนนและรถยนต์ที่วิ่งกันขวักไขว่ไม่ ยังไม่ทันจะคิดทำอะไรต่อไป มือหยาบใหญ่ก็ฉุดร่างเขาขึ้นพ้นน้ำ
“เป็นอะไรของเอ็งวะไอ้หนุ่ม” ลุงโพล้งถามด้วยความอาทร ผู้เป็นบุตรสาวยืนอยู่ข้างหลัง มองด้วยความประหลาดใจ
“ผม…ผม…” เขาพยายามเรียกสติกลับคืนมา คงเปล่าประโยชน์ที่จะบอกกับสองคนนี้ว่าเมื่อเวลาเย็น เขายังอยู่ในปี 2544 แต่บัดนี้…
“เงินผมหายหมดน่ะลุง” เขาค่อยคิดหาคำแก้ตัวได้ “สงสัยจะตกอยู่ในน้ำ” จะว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก เพราะเงินที่เขามีติดตัวมันใช้ในยุคนี้ไม่ได้จริงๆ
“โธ่เอ๊ย…เรื่องขี้ประติ๋ว” แกพูดอย่างไม่ยี่หระ “จากนี่ไปแม่กลองมันจะเท่าไรกันเชียว เดี๋ยวข้าออกให้เอง”
.
.
.
วันรุ่งขึ้น
บ้านใต้ถุนสูงหลังนั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ริมน้ำแม่กลอง ไม้ยินต้นหลากชนิดแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาประหนึ่งจะเย้ยแดดยามเที่ยง ไกลออกไปจากตัวบ้านเป็นสวนตาลอันสงบร่มรื่น คมศิลป์ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าบ้าน…บ้านที่เขาเกิดและเติบโต ผืนดินใต้เท้าคือดินที่เขาเหยียบมาแต่เล็กแต่น้อย ทุกอณูของอากาศเต็มไปด้วยความทรงจำอันดีงาม ทุกครั้งที่รู้สึกท้อแท้ เหนื่อยหน่ายจากหน้าที่การงานในเมืองหลวง เขาจะหลบมาพักใจที่บ้านหลังนี้
แต่บัดนี้ความรู้สึกของเขากลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ราวกับถูกผืนดินใต้เท้าสูบกลืนความกล้าไปจนหมดสิ้น กลัวแม้กระทั่งจะส่งเสียงเรียก
“มาหาใครกันคุณ?” ชายผิวคล้ำอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาชะโงกหน้าออกมาพร้อมส่งเด็กทารกในวงแขนให้หญิงสาววัยเดียวกันเป็นฝ่ายอุ้มไว้ เขายั้งคำพูด “พ่อ แม่” ไม่ให้ออกจากริมฝีปาก โกรธตัวเองที่มาที่นี่ ไม่มีประโยชน์ที่จะมาบ้านนี้อีกในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพ่อแม่เขา หรือแม้แต่สำหรับตัวเขาเองที่ลืมตาโตแป๋วในอ้อมกอดของหญิงสาว
เขาหักใจหันกลับ พยายามข่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ เขารู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์ต้องลงเอยเช่นนี้ เพียงแต่อยากเห็นหน้าพ่อแม่อีกครั้งเท่านั้น
.
.
.
ยามโพล้เพล้ของวันเดียวกัน ลุงโพล้งก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มย้อนกลับมาอีก
“อ้าว! ไหนเอ็งว่าจะกลับบ้านไงวะ?”
เขายิ้มเศร้า
“ไม่มีอีกแล้วละลุง”
“เฮ้ย! ทำไมวะ?”
แกถามด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มทรุดลงบนแคร่อย่างอ่อนแรง
“ฉันไม่มีที่ไปอีกแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้จนชายกลางคนคร้านที่จะถามต่อ แกจับไหล่เขาเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เอายังงี้ เอ็งมาช่วยข้าทำงานที่นี่ก่อนมั๊ย ข้าอยู่กันสองคนพ่อลูกนี่แหละ บางทีถ้างานชุกก็มีหลานชายจากนครชัยศรีมาช่วยอีกคน เอ็งอยู่ที่นี่ก่อน ไว้พอมีทางขยับขยายแล้วค่อยไป”
เขารับคำอย่างเลื่อนลอย ลุงโพล้งยังถามต่ออีกว่า
“เมื่อคืนเอ็งว่าเอ็งชื่ออะไรนะ เรียกยาก…ข้าจำไม่ได้”
ชายหนุ่มหลับตาลง คิดถึงใบหน้าพ่อแม่ ใบหน้าของเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกพวกเขา เด็กนั่นต่างหากที่ควรจะชื่อคมศิลป์ เขายังจำได้ว่าพ่อแม่เอาชื่อของหมอในจังหวัดมาตั้งให้
“ฉัน…” เขาพยายามคิดชื่อใหม่ให้ตัวเอง “ฉันชื่อย้อน”
.
.
.
ย้อนกอดมณทิราด้วยอาการปลอบใจ เธอดูเงียบซึมนับแต่วันที่คมศิลป์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาและภรรยาเคยเห็นลูกสาวแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ
“พี่คมต้องไม่เป็นอะไรใช่มั๊ยคะพ่อ ตำรวจเจอแค่รถ ยังไม่เจอศพ แสดงว่าเขายังไม่ตายสิคะ”
ย้อนเองก็น้ำตาคลอเบ้า
“เขาไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อก็เชื่อว่าเขายังไม่ตาย เขาอาจมีเหตุผลที่กลับมาหาลูกไม่ได้ แต่เขายังปกป้องดูแลลูกอยู่…พ่อรู้”
น้ำตาลูกสาวไหลอาบแก้ม ผู้เป็นพ่อมองภาพนั้นด้วยความปวดร้าวใจ
.
.
.
หลังจากทำงานที่สวนส้มโอได้สามปีเขาก็แต่งงานกับแพร จากนั้นไม่นาน เมื่อมีถนนลาดยางเล็กๆตัดผ่านหมู่บ้าน เขากับพ่อตาก็ช่วยกันปลูกบ้านอีกหลังติดถนน ปีถัดมาภรรยาก็คลอดลูกสาว เขาตั้งชื่อว่ามณทิราตามชื่อของหญิงสาวที่เขาเคยรัก หลายปีให้หลังถึงได้รู้ว่าลูกสาวของตากับหญิงสาวที่ตนเคยรักนั้นคือคนๆเดียวกัน
เขาเกือบจะลืมเรื่องหลังของตนเองหมดสิ้นแล้ว มาหวนนึกได้อีกในวันที่มณทิราไปหาเขาที่ริมคลอง แล้วพูดถึงผู้ชายชื่อคมให้ฟัง แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดยั้งหรือเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น ถ้าคมศิลป์ไม่ย้อนสู่อดีต ก็จะไม่มีไอ้ย้อนผัวอีแพรและมณทิราจะไม่มีวันถือกำเนิดขึ้นมาได้ ในเมื่อกาลเวลาเลือกที่จะเล่นกับเขา เขาก็จะเล่นกับมัน
เขาไม่อาจปกป้องเธอในฐานะคนรัก แต่จะดูแลเธอในฐานะพ่อให้ดีที่สุด