น้ำตาของดอกไม้ หัวใจของชายหนุ่ม : ซากดอกไม้

เรื่องสั้น

1

คนหนุ่มซ้อนมือยกก้านแก้วขึ้นไกว พลางจับตามองพยับอำพันที่กรีดกรายเต้นรำกับก้อนน้ำแข็งในแก้ว เขาละเลียดลงคออย่างเย็นใจ

“จะไม่คุยอะไรมั้งหรือครับ… อุตส่าห์นัดผมมาซะดิบดี” ว่าพลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้

“ความจริงแก้วก็ไม่มีเรื่องอะไรจะคุย”

“อ้าว…” เขาเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะในคอ

“คุณนี่แปลก”

“แปลกยังไงคะ ก็คุณหายหน้าไปตั้งหลายเดือน แก้วแค่คิดถึงคุณ อยากจะพบคุณ ก็เท่านั้น ไม่เห็นแปลกตรงไหน” สาดน้ำขมปร่าลงคอไปสองอึกใหญ่ๆ ก่อนจะกระแทกก้นแก้วบนโต๊ะหนักๆ และเอ่ยต่อ “คุณต่างหากที่แปลก…”

คนหนุ่มยิ้มเจื่อนกับถ้อยคำนั้น สบตาเพียงแวบก่อนเบือนหน้าวางสายตาบนธารน้ำเบื้องล่าง หญิงสาวในชุดเสื้อแขนยาวไหมพรมสีฟ้าตัวหนา กระโปรงน้ำตาลเข้มสั้นถึงเข่า ค่อยๆ ลดสายตาจากใบหน้าเขาลง ก่อนจะซ้อนเฉียงไปเหม่อมองเวที

ชายผมยาวที่นั่งเกลากีตาร์บนเวทีนั้นมองสวนมาแล้วยิ้มให้ เธอยิ้มตอบอย่างมีมารยาท เป็นนิสัยเคยชินของเธอที่ไม่เคยปฏิเสธร้อยยิ้มจากใคร และเธอเองไม่เคยเกียจคร้านจะเป็นฝ่ายหยิบยื่นรอยยิ้มให้ใครก่อน… เช่นนี้แล้วไยเธอยังพานพบแต่ความชอกช้ำ ความยุติธรรมมันตายไปจากชีวิตเธอแล้วหรือไร…

เขาหันมานิ่งสายตาคมจ้านบนใบหน้าเธออีกครั้ง และเอ่ยคำ “คืนนี้ ดูคุณสวยเป็นพิเศษนะ”

“ในสายตาของคุณ?” ขณะยกแก้วจรดริมฝีปาก หญิงสาวหยุดไว้ ก่อนเลิกคิ้วสวนคำ “ใช่”

“หึ” เธอหัวเราะหยัน ด้วยไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำนี้จากเรียวปากคนหนุ่มอย่างเขา “คุณไม่เชื่อ?” “เชื่อค่ะ ถ้าคำนี้หลุดออกจากปากคุณ แต่มันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะค่ะ…” เธอว่า ความหมายในถ้อยคำนั้น ทั้งเธอและเขาล้วนเข้าใจกระจ่าง

แสงเรืองรื่อจากไฟหลากสีบนเวทีในร้านเหล้ากลางแจ้ง ไล้ใบหน้าเขาขับให้คมหวานยิ่งขึ้น เป็นภาพลวงที่เขาใช้สอยมันอย่างฟุ่มเฟือย

แต่เธอกลับลุ่มหลงนัยน์ตาฉ่ำซื่อและเรียบนิ่งในยามเมามายของเขามากกว่า ดูราวกับว่าไม่รับรู้อารมณ์ใด ไม่หวั่นไหวกับเรื่องราวใด ราวดวงแก้วใสสักดวงก็ปาน คนหนุ่มวัยกรายเบญจเพสอย่างเขาถึงกับเฉยฉาได้เพียงนี้… ริมฝีปากยามขยับเจรจา เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ยังจำได้…ครั้งหนึ่ง…ปลายฤดูหนาวราว 7 ปีก่อน

เธอเคยสัมผัสและดูดดื่มกับริมฝีปากอิ่มอุ่นนั้น ในวันเปลี่ยวเศร้าเช่นนี้…เมามายเช่นนี้… จันทร์ฉายแสงหม่นหมาง… อายแอร์โชยฉ่ำทั่วห้อง โคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงสาดแสงซีดจาง กำยำกายนั้นอุ่น กล้ามเนื้อทุกส่วนเบียดกันนูนแน่น สัมผัสของเขานุ่มนวลถนุถนอม เธอซุกตัวอยู่ใต้เงาของเขา… ริษเหล้ามอมเมาเธอจนพร่าเลือนอยู่ในห้วงภวังค์… เขาเข้ามาสู่ชีวิตเธอในโมงยามที่หัวใจเธอแตกร้าว…

…ช่วยฉันด้วย…

…ผมอยู่นี่แล้ว…

…เขาทิ้งฉัน…

…ลืมเขาเถอะ…

…คุณจะทำอะไร…?

…ผมรักคุณ…

…ฉันจะกินอีก…

…ไม่เอา..คุณเมาแล้ว…

…คุณจะทำอะไร ?…อย่า…

เขาบดเบียดริมฝีกปากกับเธอ แลกลิ้นกับเธอ แม้มกัดเบาๆ รสจูบนั้นฉ่ำหวาน กลิ่นเบียร์หอมรื่นติดลิ้น เธอดื่มกินจนเมามายยิ่งกว่าพิษสุรา

ร่างระหงนวลผ่องปานกลีบบุปผาแรกแย้มของเธอ เหลือผ้าติดเพียงน้อยชิ้นแล้ว…

พิษเมรัย..แม้เมามาย ไม่นานยังสร่าง ทว่าพิษใคร่ กว่าจะสร่างไม่รู้ต้องรอนานเท่าใด…

โมงยามเคลื่อนไหล สายน้ำเชี่ยวกราก เธอพริ้มตาลง พบแสงระยิบของหมู่ดาว แว่วยินเสียงโหมกระหน่ำของพายุร้าย ใกล้เขามา เธอถูกพัดพาไปในความมืด พายุยังคุกคามรอบกาย ความกลัวกัดกร่อนหัวใจ เธอเจ็บปวดจนแทบร่ำไห้ สองมือป่ายปัดหาที่เกาะกุม น้ำตารินไหล

ใบหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้า เธอกระเสือกระสนไปหาเขา แต่ใบหน้านั้นห่างออกไป…ไกลออกไป…เลือนไป… เธอร่ำให้ เรียกชื่อเขา… ใบหน้านั้นแจ่มชั้นขึ้นอีกครั้ง ใกล้เข้ามา…หากไม่ใช่….เป็นใบหน้าเขา คนหนุ่มในค่ำคืนนี้ ใบหน้านั้นเปื้อนร้อยยิ้ม เธอหลงเข้าไปในอ้อมแขนเขา…

และ…เขาจับเธอเหวียงไปบนเวิ้งฟ้า เบื้องหน้า..ดวงดาวสุกสกาวเกลื่อนนภา เธอลอยลิ่วขึ้นไป…กระชั้นเข้าไป…กำลังจะชนกับดวงดาวแล้ว…

ไม่!… เธอกรีดร้อง…!

แก้มชื้นเหงื่อสัมผัสริมฝีปากอุ่นนิ่ม เธอลืมตา พบรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา..อ่อนโยนในหม่นซีดของเรืองโคม นัยน์ตาฉ่ำคู่นั้นสะท้อนประกายเข้าถึงหัวใจเธอจนระทวยปานขี้ผึ้งร้อนไฟ เขาตะกองกอดเธอไว้ในอุ่นอก…

2

บางครั้งความพยายามก็ใช่จะพาคนไปพบความสำเร็จเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ แท้จริงเขาพยายามจะรักเธอ เขาเริ่มต้นด้วยสัมพันธ์ใคร่ แต่เขาก็หนีไม่พ้นข่ายนั้น…

…กลับเป็นเธอที่รับรักเขาไว้…

ทำไม?…

อาจเพราะเขาเข้ามาในวันที่หัวใจเธอเคว้งคว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยว…

“แก้วครับ” เขาเอ่ยเสียงหดหู่ “เรารู้จักกันมา 7 ปีแล้ว ผมเข้าใจคุณดี คุณเจ็บปวดรวดร้าวใจแค่ไหนผมรู้ ผมก็สงสารคุณ แต่ผมทำได้แค่เป็นเพื่อนของคุณ มากกว่านั้นผมทำไม่ได้…” หยุดนิดหนึ่งจึงเอ่ยต่อ “…ผมคงไม่มีความสุขและคุณก็จะเหมือนกัน คุณก็น่าจะรู้”

“แก้วรู้ค่ะ”

“แล้วมีประโยชน์อะไรที่คุณต้องมาหวนไห้กับผมอยู่ยังงี้ ทำไมคุณไม่สงสารตัวเองบ้าง…”

นั่นซิ…ทำไมเธอไม่สงสารตัวเอง เขามีดีอันใดกัน เธอถึงไม่ยอมวางใจจากผู้ชายคนนี้ รูปร่างหน้าตาฤา …ชายหนุ่มผิวกร้าน ใบหน้าคมเรียว คิ้วเข้ม คางปุ๋ม มุมปากเม้มนิดๆ นั้น ก็มิได้เลอเลิศจนยากหากะทาชายใดเปรียบ และมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอ หรือเป็นนิสัยและไมตรี… บุคลิกเงียบขรึม แววตาเรียบนิ่งนั้น

ยิ่งไม่เรียกร้องให้ใครปรารถนาจะคบหา และในช่วงหลายฤดูนี้

หัวใจเธอต้องปวดปร่าจมอยู่ในบ่อน้ำตา กลับมิใช่สิ่งนี้ดอกหรือ…

เพราะหากเขาได้เจรจา นั่นจึงมีความหมายกับผู้รับฟังมากมายนัก…

“สงสารตัวเองหรือค่ะ แก้วสงสารจะแย่อยู่แล้ว” ในคำ..หญิงสาวฝืนหัวเราะขื่นขม

“คุณลองทบทวนดูซิค่ะ หลายปีที่ผ่านมา หลังจากคุณบอกเรื่องนั้นกับแก้ว แก้วให้อภัยคุณทุกอย่าง ไม่เคยเรียกร้องหรือทวงสิทธิ์อะไรจากคุณ อย่างที่ผู้หญิงคนอื่นทำกัน จนบางครั้งแก้วจะตัดใจจากคุณได้อยู่รอมร่อ แต่ไม่ใช่คุณหรือค่ะที่ให้ความหวังกับแก้วอีก…แก้วพยายามหลบหน้าคุณ แต่คุณก็ยังโทรถึงแก้ว คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง นัดแก้วไปเที่ยว ไปทานข้าว แล้วอย่างนี้จะให้แก้วตัดใจได้หรือค่ะ คุณทำเหมือนกับว่าคุณ….” พูดได้เพียงนั้น หัวใจของเธอก็ปวดพร่า ไม่อนุญาตให้เอ่ยต่อ เธอเบือนหน้าจากเขา

ขอบตาผ่าวร้อนและตึงรัดไล่ลงถึงโพลงจมูกจนปวดหนึบ น้ำตาพาลเกเรแล้ว…

เขาวางแก้วลง ประสานมือแล้วโน้มลงวางศอกบนโต๊ะ นิ่งมองเธออึดใจจึงเอ่ยเสียงเข้ม

“ตอนแรกทำไมถึงเด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสีย แต่สุดท้ายทำไมคุณถึงอ่อนไหวขนาดนี้ ที่ผมทำทุกอย่างไปก็คิดว่า ถึงแม้ผมจะรักคุณไม่ได้ แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ผมอยากชดเชยความผิดด้วยการเป็นเพื่อนคุณ คอยอยู่เคียงข้างคุณอย่างผู้รู้ใจกันฉันมิตร ไม่อยากตัดสวาทขาดสัมพันธ์มองหน้ากันไม่ติด หรือกลายเป็นขี้ปากในวงเหล้าเหมือนพวกสารเลวอื่นๆ…” หญิงสาวอัดอั้น ควานไม่พบคำโต้ …เป็นเธออ่อนไหวไปจริงๆ เมื่อเห็นใบหน้าอาบร้อยยิ้มและคำพูดอย่างไว้ไมตรีของเขา เธอถึงกับลืมถ้อยคำที่เขาบอกอย่างหนักแน่นกับเธอเมื่อหลายปีก่อนไปสิ้น ตีขลุมไปเองว่าเขากลับใจได้แล้ว…

“เข้าใจแจ่มแจ้งหรือยังครับ” เขารวบท้ายสรุปอยู่ในที ค่ำคืนเปลี่ยวร้างยิ่งนัก

ลมชายฝั่งโขงกระพือโหมเป็นระยะ แม่น้ำสายเหงาทอดยาวสุดตา สะท้อนแสงดาวระยิบดั่งกลืนเอาดาราดาษบนฟ้าเข้าไปจนสิ้น

นักดนตรีบรรเลงเพลงกล่อมคืนในทำนองโศกสร้อย อ้อยอิ่ง เป็นบทเพลงหม่นหมางที่เฆี่ยนโบยหัวใจคนบอบช้ำให้กรีดน้ำตาร่ำให้ ทว่าหัวใจหญิงสาวกลับอ้างว้างกว่า…โศกสูญกว่า…ด้วยว่าความปวดเจ็บประดานั้น เธอจำนนใจต่อมันมานานนม…

ยามหัวใจหลงพิษรักนั้นอย่าได้ท้วงถามเหตุผลว่าทำไม…

อย่าถามคนจมฤทธิ์กัญชาว่าเหตุใดเห็นใบไม้ไหว จึงหัวเราะ…

“คุณเลิกไม่ได้?” หญิงสาวเอ่ยถาม หลังนิ่งอยู่นาน

“ครับ ผมเลิกไม่ได้”

“ทั้งที่รู้ว่าการใช้ชีวิตอย่างนั้น ไม่มีวันพบความสุขที่ยืนยาว?”

“ใช่…แต่ผมก็มีความสุขกับมัน”

“ความสุขบัดซบ…” เธอพ้อ

“ก็ถูกของคุณ” เขาตอบเสียงเรียบ

“แต่ไม่มีความสุขไหนจะทนอยู่กับเราตลอดไปหรอกครับ จะแบบผมหรือคนอื่นๆ มันอยู่ที่เราจะรู้จักตักตวงหรือไม่แค่นั้นเอง

3

ดึกดื่นของเมืองเล็กๆ ริมฝั่งโขง…

ถนนที่เมื่อช่วงวันมีรถวิ่งกันขวักไขว่ ยามนี้ว่างเปล่าเหมือนถูกทิ้งให้รกร้าง เจ้าของบ้านเกือบทุกหลังปิดไฟเข้านิททรากับแล้ว

บางบ้านเพียงเปิดไฟหน้าบ้านทิ้งไว้เผื่อแผ่คนสัญจรยามดึก

…อากาศยังไม่ราหนาว…

เบนส์สีกรมท่าเสเข้าจอดริมถนนหน้าบ้านสองชั้นสีขาวหลังหนึ่ง คนลงจากรถเป็นคนหนุ่มนั่นเอง เขาเปิดประตูหลังและพยุงหญิงสาวเข้าบ้านอย่างทุลักทุเล ก่อนจะล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพายใบเล็ก ซึ่งยังห้อยติดบ่าเธออยู่ ออกมาไขประตู

20 นาทีก่อน…

ขวดกลมใสนั้นเหลือน้ำนอนก้นเพียงไม่กี่หยด ยืนนิ่งอย่างปรอดโปร่งจากดีกรีอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว หากเลือนพร่าในสายตาของเธอแล้ว… เธอเมามายและเริ่มร่ำไห้… เขาจับมือเธอไว้และปลอบโยนอยู่หลายนาที จึงพลิกแขนเหลือบดูเวลาบนข้อมือ

“ร้านเหล้าจะปิดแล้ว ผมจะไปส่งคุณ” เอ่ยพลางลุกขึ้นพยุงแขนเธอ

“ม้ายต้อง…แก้วกลับเองด้าย..” เธอปัดมือเขา กล่าวเสียงอ้อแอ้

“อย่าดื้อดีกว่าน่า คุณจะกลับยังไงดึกดื่นป่านนี้…” เขาดึงแขนเธอลุกขึ้น และพยุงเดินเลี่ยงไปยังประตู ซึ่งเป็นซุ้มเถาว์ไม้เลื้อยประดับไฟแสงสีระยิบ บ๋อยหน้าร้านสาวเท้าเข้ามาช่วยพยุงอีกแรง เขายิ้มให้…

“ขอบใจนะ…รถพี่อยู่ทางโน้น” เขาบอกพลางชี้ไปที่เบนส์สีกรมท่าคันหนึ่ง

ถึงรถ…บ๋อยหนุ่มน้อยอาสาไขกุญแจรถให้ เขาส่งเธอเข้าไปนั่งเอนหลังแผ่บนที่นั่งด้านหลัง ปิดประตูรถแล้วจึงหันมามองเด็กหนุ่มหน้าใส ไว้ผมเกรียนอย่างเด็กมัธยมปลาย ที่ยืนกุมมือคอยปิดประตูให้ ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ขอบใจอีกครั้งนะ… เอ่อ น้องทำงานที่นี่ทุกวันรึเปล่า?”

“เปล่าฮะ…ผมทำเฉพาะวันธรรมดา เสาร์หยุด ส่วนวันอาทิตย์ไปเรียนพิเศษฮะ”

“งั้นวันเสาร์น้องมานั่งดื่มเป็นเพื่อนพี่ได้ไหม พี่กินคนเดียวไมสนุก”

“แล้วแฟนพี่ล่ะฮะ?” เด็กหนุ่มหมายถึงหญิงสาวที่นั่งไม่ได้สติอยู่ในรถ

“เอ๋อ…ไม่ใช่หรอก เขาเป็นเพื่อนพี่”

“งั้นก็ได้ฮะ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ ดวงตาเป็นประกาย เขาเข้าไปนั่งในรถ

แล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้…ก่อนจะหันมาหาเด็กหนุ่ม

“เกือบลืมแหน่ะ…น้องชื่ออะไร?”

“กานต์ครับ”

“พี่นพนะ…ไว้วันเสาร์เจอกัน” ยิ้มกว้างก่อนปิดประตูรถ และยกมือให้ขณะเด็กหนุ่มคำนับส่ง

4

เตียงหลังใหญ่นอนนิ่งอยู่ริมห้อง เธอเหยียดกายบนนวมนุ่มนั้น…

ผ้าหมาดน้ำผสมโคโลนอ่อนๆ อยู่ในมือแล้ว เขาเช็ดใบหน้าหวานใส ต้นคอที่ขาวนวลเหมือนไข่มุกราตรีและแขนเรียวเรียบให้เธอ

ก่อนจะเดินไปกดรีโมทเปิดแอร์ปรับอุณหภูมิ 29? แม้อากาศข้างนอกจะหนาว แต่เธอเคยบอกเขาว่า ชอบเปิดแอร์เวลานอน เธอแพ้หมอกและละอองน้ำค้าง

“หลับให้สบายนะ พรุ่งนี้คุณคงเข้าใจผมมากขึ้น…” เขากระซิบริมหูเธอ ในน้ำเสียงยังคงอ่อนโยน…

…ก่อนสติจะจมสู่ภวังค์แห่งนิทรา จำได้ว่าเขาดึงผ้าห่มผืนหนาห่มให้เธอ

ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงกดล็อคกลอนลูกบิดและเสียงประตูห้องถูกปิด…

แว่วเสียงเครื่องปรับอากาศกระซิบแผ่วเบา โชยฉ่ำในห้องนั้น ราวกลับพัดพาเธอให้ล่องลอยไปสู่โพ้นฟ้า เหยียบย่ำไปบนเมฆนวลขาว และเชื้อเชิญเธอให้ไขว่คว้า

…เก็บดาว…