“ย้ายอีกแล้ว ต้องย้ายอีกแล้ว พอถึงสิ้นปีทีไร ต้องมีการเก็บข้าวเก็บของเพราะพ่อต้องโยกย้ายไปทำงานที่ใหม่ ปีก่อนก็ย้ายจากจังหวัดสกลนครมาที่จังหวัดอุบล ปีนี้ก็จะย้ายจากอุบลเข้าไปกรุงเทพ ฯ การย้ายที่ทำงานของพ่อทุกครั้งหน้าที่การงานของพ่อจะดีขึ้นดีขึ้น ทั้งตำแหน่งงานหรือแม้แต่เงินเดือนก็จะได้เพิ่มมากขึ้น
การย้ายในแต่ละครั้งน่าจะเป็นผลดีต่อพ่อมากกว่าเรา เพราะเราอยู่แห่งหนึ่งแห่งใดพอที่จะคุ้นเคย หรือพึ่งได้จะรู้จักเพื่อนใหม่ได้ไม่นานก็ต้องมีการโยกย้ายไป
“โต้งเก็บของเสร็จหรือยัง ลงมาได้แล้ว” เสียงพ่อเรียกโต้งจากชั้นหนึ่ง
โต้งปิดสมุดบันทึกเล่มเล็กสีฟ้าลงเก็บเข้ากระเป๋า ทั้งที่ยังเขียนยังไม่เสร็จ เพราะต้องรีบไปให้ทันรถที่จะออกเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง
พร้อมรึยังโต้ง ” พ่อตะโกนถามโต้ง
“ พร้อมแล้วครับ ” โต้งตอบกลับไป
พ่อเดินนำหน้าไปที่รถสามล้อที่มาจอดรอที่หน้าบ้าน ก่อนขึ้นรถสามล้อโต้งหยุดยืนมองบ้านชั่วคราวหลังที่เท่าไหร่แล้วมิอาจทราบได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ โต้งยังไม่มีบ้านหลังใดเลยสักหลังเดียว ที่เป็นที่พักพิงเป็นการถาวรสำหรับโต้ง
การจากไปหรือการย้ายบ้านทุกครั้งโต้งจะไม่ค่อยเสียใจมากเท่าไรนัก เพราะโต้งได้ทำใจแล้วว่าสิ้นปีต้องมีการย้ายอย่างแน่นอน ดังนั้นโต้งจึงไม่ค่อยทุ่มเทใจรักในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะได้พบในกาลข้างหน้ามากเกินไป เพราะถ้าหากทุ่มเทใจรักมากไปเวลาเสียใจก็จะเสียใจมากเช่นกัน
พ่อและโต้งเดินทางไปถึงสถานีขนส่งเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม อีกครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลารถออก รถที่พ่อและโต้งจะใช้โดยสารเป็นรถปรับอากาศชั้นหนึ่ง อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ
ผู้คนมากมายหลายหลากหน้าตาที่สถานีขนส่ง เดินกันพลุกพล่านแสนสับสน บ้างก็เดินขวักไขว่ไปมา บ้างก็นั่ง บ้างก็นอน ทั้งบนเก้าอี้หรือนอนบนพื้นก็มี ทั้งเสียงคนพูดบ้างตะโกนบ้าง ทั้งเสียงคนเสียงรถที่วิ่งไปมาดูวุ่นวายเหลือเกิน พ่อกับโต้งหิ้วข้าวของสัมภาระไปนั่งรอที่ชานชลาที่บอกไว้ในตั๋ว ที่พึ่งจะซื้อมาจากเคาน์เตอร์ขายตั๋ว
ระหว่างที่นั่งรอและเหลือเวลาก่อนรถออกประมาณยี่สิบนาที โต้งก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กสีฟ้าที่ยังเขียนไม่เสร็จขึ้นมาเพื่อที่จะเขียนต่อให้เสร็จ โต้งตั้งใจที่จะเขียนปิดบันทึกเล่มนี้ให้เสร็จในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะสิ้นปีพอดี ปีหน้าจะได้ขึ้นได้เขียนบันทึกเล่มใหม่
“หลังจากที่แม่เสียชีวิต พ่อก็เอาแต่ทำงานและก็ทำงาน งานได้ช่วยบรรเทาอาการเสียใจของพ่อไปบ้างบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด เรารู้ดีว่าพ่อกับแม่รักกันมากเพียงใด พ่อกับแม่เคยทุกข์เคยสุขมาด้วยกัน ท่านทั้งสองได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆนานามาด้วยกัน ถ้านำเอาชีวิตของท่านทั้งสองมาแต่งเป็นหนังเป็นละครคงจะได้สักเรื่องเป็นแน่แท้
ทุกๆปีของการโยกย้ายบ้านใหม่จะมีแม่มายืนเคียงข้างเราและพ่อ เราสามคน พ่อแม่ลูกจะเดินทางไปด้วยกันทุกปี แต่ปีนี้ไม่มีแล้วไม่มีแล้ว คุณแม่ที่จะมายืนเคียงข้างแล้วร่วมเดินทางไปด้วยกัน เหลือเพียงเราและพ่อเท่านั้น ก่อนที่แม่จะจากเราไป ท่านได้บอกเราและพ่อว่าท่านจะอยู่เคียงข้างเราตลอดไปแม้จะไม่มีรูปร่างหน้าตาให้เห็นแต่ท่านก็จะอยู่ภายในใจของเรา และพ่อตลอดไป และตลอดกาล”
และแล้วโต้งก็เขียนบันทึกของปีนี้เสร็จ ปีนี้เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดสำหรับโต้งและพ่อ เพราะพึ่งได้เสียแม่ไปจากการคุกคามของเจ้าโรคมะเร็งร้าย แต่ถึงยังไงชีวิตของโต้งและพ่อก็ต้องดำเนินต่อไป
“โต้งไปได้แล้ว รถจะออกแล้ว ” พ่อเรียกโต้งขึ้นรถเพราะจะได้เวลารถออกแล้ว
โต้งและพ่อได้ที่นั่งตรงกลางรถพอดี ผู้โดยสารคนอื่นๆก็เริ่มทยอยกันขึ้นรถ เก็บข้าวเก็บของจัดเก็บสัมภาระให้เข้าที่เข้าทางแล้วก็นั่งลงบนที่นั่งของใครของใคร
พอถึงเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง รถก็ได้เคลื่อนตัวออกไปจากสถานีขนส่ง เพื่อที่จะเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง
“พ่อครับบ้านใหม่ของเราเป็นยังไงบ้างครับ ” โต้งถามพ่อถึงบ้านหลังใหม่ที่จะไปอยู่ว่าเป็นยังไงบ้าง
“ พ่อก็ยังไม่รู้เหมือนกันลูก แต่น่าจะดีกว่าหลังที่ผ่านๆมานะลูก ” พ่อตอบ
รถที่โต้งและพ่อโดยสารไปครั้งนี้ ผู้โดยสารมีไม่มากนักเพราะเป็นช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ผู้คนส่วนมากจะเดินทางออกจากกรุงเทพฯมากกว่าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และปีใหม่ปีนี้ก็มีวันหยุดหลายวันทำให้มีผู้คนเดินทางกลับบ้านกันมาก
รถเคลื่อนตัวสู่จุดหมายไปเรื่อยๆ ผ่านอำเภอแล้วอำเภอเล่า ขณะนั้นพ่อกับโต้งก็ได้หลับไป จากความเหน็ดเหนื่อยจากการเก็บข้าวของมาทั้งวัน ส่วนผู้โดยสารคนอื่นก็ได้หลับกันเกือบหมด คงเหลือเพียงแต่พนักงานรถเท่านั้นที่ยังขับเคลื่อนรถมุ่งสู่จุดหมายปลายทางต่อไป
“ต้องรีบทำเวลาหน่อยนะพี่ ” พนักงานในรถคนหนึ่งพูดขึ้นมา บอกให้ทำเวลาเพราะยังมีผู้โดยสารอีกมากมายที่กรุงเทพฯ กำลังรอเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านในช่วงปีใหม่นี้
“ ไม่ได้นอนมาสองคืนแล้วกู ไอ้เถ้าแก่ขี้งกก็ยังมาบังคับให้กูวิ่งรถอยู่ได้ ไม่ยอมหาคนอื่นมาขับแทนกูเลย ” พนักงานที่กำลังขับรถบ่นแล้วอ้าปากกว้างหาวด้วยอาการง่วง พร้อมทั้งเหยียบคันเร่ง เร่งความเร็วรถเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น
รถเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ จังหวัดแล้วจังหวัดเล่า โต้งก็นอนหลับสบาย แต่พ่อตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ารถเคลื่อนตัวไปเร็วมาก และพนักงานขับรถก็ขับรถฉวัดเฉวียนไปมา แซงซ้ายทีขวาที ทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาโวยวายกันยกใหญ่
พอได้ยินเสียงโวยวายพนักงานขับรถก็ลดความเร็วลง แต่พอสักพักหนึ่งรถก็เริ่มเคลื่อนตัวเร็วขึ้น เร็วขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เร็วกว่าครั้งก่อน ฉวัดเฉวียนไปมา แซงซ้ายทีขวาที
“ ช้าๆ หน่อยพี่ “ มีเสียงผู้โดยสารตะโกนมาจากด้านหลัง
“ สงสัยกินยาบ้าว่ะ ” ผู้โดยสารด้านหลังโต้งและพ่อคุยกันเบาๆ
“ ต้องรีบทำเวลาครับพี่ มีผู้โดยสารอีกเยอะรอเราอยู่ที่กรุงเทพฯ ” พนักงานรถอีกคนร้องตะโกนตอบเพื่อบอกผู้โดยสาร
มีผู้โดยสารอีกคน ซึ่งนั่งอยู่เกือบหลังสุดตะโกนขึ้นด้วยความโมโหว่า .
“ขับช้าๆหน่อยซิวะ เดี๋ยวก็ไปไม่ถึงกรุง……… ”
ยังไม่ทันที่จะพูดคำว่าเทพจบ ก็มีรถสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนมาทางด้านหน้า ด้วยความเร็วที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
รถทั้งสองคันประสานงากันอย่างจังดัง โครม!!!!!!!!!
โต้งลืมตาขึ้นเห็นร่างพ่อที่อยู่ด้านหน้าชัดขึ้นชัดขึ้น พ่อกำลังเรียกโต้งว่า
“ โต้งตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้วโต้ง ” พร้อมทั้งเขย่าโต้งเบาๆ
โต้งลืมตาขึ้นช้าๆเพราะมีแสงส่องแยงตา โต้งค่อยๆลืมตาขึ้นลืมตาขึ้นจนเห็นร่างของพ่ออยู่ด้านหน้า
พร้อมกับถามพ่อไปว่า
“ ถึงบ้านใหม่ของเราแล้วใช่ไหมพ่อ? ” พ่อนิ่งไปพักหนึ่งพร้อมกับตอบโต้งไปว่า
“ ใช่จ๊ะลูก ถึงบ้านใหม่ของเราแล้ว ”