ในความมืด สุรินทร์ยังคงเดินลากเท้าไปตามหลืบมืดของซอย ยิ่งเดิน…ยิ่งลึก และลึกไปในใจของเขายังคงครุ่นคิด เรื่องราวต่างๆในวันนี้ยังคงวกวนอยู่ในสมอง เขาไม่รู้จะไปไหน ได้แต่เดินไปทางเดิมที่คุ้นเคย ทว่าชีวิตเปลี่ยนแปลง
เมื่อวานสุรินทร์ยังมีคนเดินเคียงข้าง แต่วันนี้มีเพียงแต่เค้า เพียงแค่วันๆเดียว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปได้ หัวใจของเขาร่ำร้องว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ “ทำไม” คำๆนี้กัดกินทุกส่วนในสมองของเขา แต่เหตุผลที่เขาคิดได้ ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งไปกว่าเดิม
เขาเดินไปอย่างไม่รู้ตัวว่าถึงหน้าบ้าน ที่ๆเขาคุ้นเคยกับมัน ที่ๆเขารัก แต่ตอนนี้ มันยากเหลือเกิน ที่จะย่างก้าวเข้าไป เขากลัว…กลัวความจริงจะบังเกิด
“กลับมาแล้วหรือรินทร์…เหนื่อยมั้ย” แม่เอยปากถาม
รินทร์ก้มหน้า แทบไม่อยากปริปากพูด “ไม่ครับแม่”
เขาล้มตัวลงนอน มือข้างขวาถูกวางลงเหนือหน้าผากอย่างช้าๆ ทว่า…นาน ตากลมโตของเขายังคงเบิกกว้าง ร่างล่ำสันของเขาเริ่มสั่นเทา น้ำจากขอบตาไหลลงมาช้าๆ ภาพต่างๆเริ่มแทรกเข้ามา
เมื่อเช้าเขารีบเข้าไปที่ทำงานแต่เช้าตามปกติ เขาเดินเข้าไปในห้อง เก้าอี้ตัวเก่าที่เคยนั่ง กลับไม่วางอยู่ที่เดิม เขาจึงเริ่มมองหา แสงไฟที่จ้าอยู่ในห้องของผู้จัดการ ทำให้เขาสงสัยยิ่งนัก
เขาจึงเอื้อมมือไปผลักที่ประตูซึ่งแง้มอยู่อย่างเบาๆ และภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นภาพที่เขาไม่คาดฝัน เขาหยุด… ยืน… นิ่งอยู่หนึ่งอึดใจ ภาพหญิงชายเบื้องหน้า มองมาเป็นสายตาเดียวกัน
เขาจึงตัดสินใจ เดินถอยห่างมาช้าๆ แต่ใจเต้นรัว “ทำไมนะ…ทำไม”
เขาเดินกลับมาที่โต๊ะ และค่อยๆเก็บของบนโต๊ะลงในเป้ใบเก่า แล้วเดินออกไป
ประตูถูกเปิดออก แสงแดดส่องมายังใบหน้าของเขา…เขาจึงหลับตา ความร้อนกัดกร่อนไปทั่วร่างกายและจิตใจ เขาเริ่มเดิน…เดินไปตามทาง แต่ไร้จุดหมาย
เหนื่อยเหลือเกิน…เขานึก เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่า ตัวเองเข้ามาอยู่กลางป่า ไม่มีใคร…เขาจึงออกเดินอีกครั้ง ต้นไม้…ต้นหญ้าเบื้องหน้านี้ไม่มีสีสัน กลับมืดมิดดังไร้ดวงอาทิตย์ ธารน้ำไหลไปเรื่อยๆตามทิศทางแห่งขุนเขา และเขาเดินจนกระทั่งมาถึงที่ชายป่า
เมื่อแหวกพงหญ้ารกสูงนั้นออกไป เขาพบว่า…ตัวเขายืนอยู่บนผาสูง เบื้องล่างเต็มไปด้วยหมอกควันจางๆ เขาเริ่มสับสน เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เม็ดเหงื่อเริ่มแผ่กระจายอยู่ทั่วร่าง เขาเคลื่อนไหวที่ละน้อย
และเขาก็ก้าวพลาด ร่างใหญ่นั้นลื่นไหลตามความอ้างว้างของหินผา ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีเสียง และไม่มีผู้คน
“เราอยู่ที่ไหนกันแน่” เขาเริ่มถามตัวเอง และกวาดสายตามองไปโดยรอบ เพื่อหาสิ่งมีชีวิต แต่สิ่งเดียวที่มีอยู่ก็คือเขา
เขาแหงนหน้ามองสูงขึ้นทีละน้อย ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อพบว่า ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีก้อนเมฆ ท้องฟ้าเป็นสีดำ
ตัวเขาแข็งทื่อกับภาพเบื้องหน้า เขาเริ่มออกเดินช้าๆ จนกลายเป็นวิ่ง จนวิ่งโดยไม่มองทางข้างหน้า…และเขาก็พบว่า ตัวเขานั้นยังวนอยู่ที่เดิม
ขาของเขาเริ่มหยุด ขณะเดียวกันสมองก็เริ่มคิด
เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะกลับบ้าน กลับไปหาแม่ เขายังมีแม่ที่ต้องดูแล ชีวิตของเขายังต้องดำเนินต่อไป เขาไม่ใช่ผู้แพ้
เส้นทางขางหน้าเริ่มชัดขึ้น จนกระทั่งเขาพบกับเมืองเมืองหนึ่ง เมืองนั้นทุกอย่างปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ในเมืองเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ถนนคับคั่งไปด้วยรถรา ผู้คนต่างสวมชุดสีดำ
เขามองหาต้นไม้ แต่เขาก็ไม่พบเลยแม้แต่ต้นหญ้าเล็ก เขากลัว แต่เขาต้องก้าวต่อไป เพื่อชีวิตข้างหน้า
เดินไปจนกระทั่งถึงร้านกาแฟเก่าๆ เขาเหลือบไปเห็นวีณา เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก เขาร้องเรียกเธอ แต่เธอก็เดินผ่านไปเหมือนมองไม่เห็นเขา เขาตัดสินใจวิ่งตามเธอไปที่มุมตึกนั้นเอง วีณากำลังกอดจูบลูบไล้กับชายคนหนึ่ง ชายซึ่งเค้าไม่เคยลืม
“ทำไมพ่อทำอย่างนี้” เขาตะคอกจนสุดเสียง ทว่าร่างทั้งสองยังคงกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างไม่ไยดีต่อเสียงของเขา
เขาวิ่งไปยังคนทั้งสอง แต่แล้วก็ชนเข้ากับความว่างเปล่า ร่างทั้งสองนั้นหายไป
บิดตัวไปมา กระสับส่ายอยู่ไม่น้อย มือไม้เริ่มแกว่งไกว
เขาออกเดินอีกครั้งจนไปถึงที่ชานชาลา นายสถานีรถไฟกำลังเตรียมพร้อม เสียงหวูดรถไฟกู่ก้องมาแต่ไกล ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา
ล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงของเขา ไม่มีเงินเลยสักบาท แต่เขาต้องการออกไปจากที่นี่ เขาเกลียดที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา
ในที่สุดเขาก็จับรถไฟไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขามองเหม่อไปนอกหน้าต่างและนึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเค้า
เขาต้องการลืมเรื่องราวทั้งหมด แต่มันยังคงวนเวียน เขาต้องการขจัดมัน แต่มันกลับยิ่งถาโถมเข้ามากยิ่งกว่าเดิม
ย้อนนึกถึงภาพเมื่อเช้าอย่างช้าๆ เขากำลังหาเก้าอี้ เขาเห็นพ่อกับคนรักของเขา เขาเดินออกมา เขากลับบ้าน แม่นั่งรอเขาอยู่
มองไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำให้เขาหายจากความหดหู่ไม่น้อย เขาเห็นทุ่งหญ้าเขียว ควายกำลังเล็มหญ้า หุ่นไล่กายังคงยืนตระหง่านรอรับฝูงกา
อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ ชายแก่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหันมามองที่เขา
“เป็นอะไรไปล่ะพ่อหนุ่ม”
สุรินทร์หันไปจ้องที่ใบหน้าของชายแก่ผู้นั้น “พูดกับผมเหรอ”
“นี่คงจะหลับเพลินสินะ”
“ผมเปล่า…นี่ที่ไหนกันแน่”
ชายแก่ส่งขวดน้ำเปล่าให้สุรินทร์ “เอาไปล้างหน้าสิ”
เขาเทน้ำไปที่ใบหน้า น้ำค่อยๆไหลจากหน้าผากลงสู่จมูกและปลายคาง ลมที่ปะทะกับใบหน้าพัดน้ำไหลลงเป็นสายกระเซ็นไปตามทาง
และเขาเริ่มเล่าเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อให้ชายชรานั้นฟัง
เมื่อเขาเล่าจบ ชายชราได้เพียงแต่กล่าวว่า “เดินต่อไปเถอะ…แล้วเจ้าจะพบกับคำตอบ”
แสงแดดยามเช้าส่องมายังที่ห้องเล็กๆอีกครั้ง เงาของต้นไม้ริมหน้าต่างถูกจัดวางบนพื้นไม้ได้อย่างพอดี และลมอ่อนๆเริ่มพัดต้นไม้ไหวเอนไปมา
ความเย็นจับที่ใบหน้าของเขา แต่เขายังคงเดินทางไปในความคิด …