มุมหนึ่งของถนนสายหนึ่ง : พุ ด ต า ล

Exclusive เรื่องสั้น

ถนนสายนี้มีสี่แยกที่ตัดกันเป็นที่มาของถนนสี่สายที่มาบรรจบกัน จุดตรงกลางจะเป็นสิ่งก่อสร้างไว้สำหรับเตือนใจของผู้คนให้ระลึกถึง ความทรงจำในครั้งอดีต ชีวิต การต่อสู้ ชัยชนะและความเสียสละเป็นที่ ๆ จะมีคนเข้าไปใกล้ชิดได้น้อยมากนอกจากวันสำคัญๆที่บังคัญไม่ให้รถวิ่ง นอกจากจะเสี่ยงกับชีวิต เป็นจุดบรรจบที่ผู้คนมาแล้วก็ต่อไปที่อื่นๆ และเป็นแหล่งที่มาของผู้คน คนเดินถนน รถราที่สัญจรไปมาแน่นขนัด ควันท่อไอเสียที่คลุ้งไปทั่วท้องถนน มอเตอร์ไซด์ที่วิ่งสับสนอลหม่าน คนข้ามถนนที่ต้องเสี่ยงกับชีวิต

ที่นี้เป็นแหล่งรวมทุกสิ่งที่สัญจร ค้าขาย แม่ค้าขายของ หาบเร่แผงลอย พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินทาง และเป็นที่สำหรับซื้อของ ขายของ ผู้คนที่รอขึ้นรถประจำทาง จุดนัดพบ วิถีทางของผู้คนที่หลากหลายบนถนนสายนี้ก็แปลกและแตกต่างกันไป บ้างก็สาระวนอยู่กับการส่องพระ ดูพระ แผงหนังสือก็หลายล้อมไปด้วยผู้คนที่หยิบหนังสือขึ้นอ่าน คนขายล็อตเตอรี่ที่ถือไม้กระดานพร้อมกับเสนอใบล็อตเตอรี่และความหวัง คนหลากหลายอาชีพ,วัฒนธรรม,ความคิด, นิสัย หลายคนอยากจากไป หลายคนอยากเข้ามา และหลายคนเบื่อหน่ายที่ต้องสัญจรผ่านถนนสายนี้ มันก็ยังเป็นถนนของมันอยู่ ไม่มีชีวิตแต่เป็นสิ่งที่ให้สิ่งมีชีวิตได้พึ่งพาหรือมีส่วนร่วม เหมือนกับผู้คนที่ศรัทธากราบไหว้พระพุทธรูป เหมือนจาน,ชาม,ช้อนที่ผู้คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อะไรทำให้ผู้คนตั้งความหวังไว้กับมัน

ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเดินทางมาจากทางแยกถนนสายหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังคุยกระหนุงกระนิงกับหญิงสาว ผมเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตา คาดว่าน่าจะเป็นคู่รักในสายตาผม น่าจะใช่ หญิงสาวผู้นี้แต่งตัววัยรุ่น สีฉูดฉาด สะดุดตา หน้าตาคมคาย ถือหนังสือสามสี่เล่มในมือ ผมที่มาคลอเคลียตรงบ่าทำให้เข้ากันพอดีกับรูปทรงหน้ารูปไข่ จัดเป็นผู้หญิงที่หน้าตาใช้ได้คนหนึ่ง ส่วนชายหนุ่มก็รูปร่างธรรมดาไม่สูง และไม่เตี้ยจนเกินไปถ้าเทียบกับผม

เหอะ ผมละสายตาไปชั่วครู่หนึ่งเพราะว่าคันหนวดมาก จึงลงมือถูไถอย่างเมามัน เอาให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย เออ ค่อยยังชั่วหน่อย พอหันกลับมาดูอีกทีหนุ่มสาวคู่นี้เดินไปทางหัวมุมถนนที่ตัดกับถนนอีกสาย เดี๋ยวต้องตามเข้าไปใกล้ชิดอีกนิด ว่าแล้วผมก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิด เดินตัดผ่านร้านขายอาหารที่มีขายทั่งก๋วยเตี๋ยว, ข้าวมันไก่ ฯลฯ แม้ช่างน่ากินเสียนี่กระไร ทำให้ผมลืมเรื่องหนุ่มสาวคู่นี่ไปเสียสนิท ไว้ก่อน ” มันหิวนี้หว่า ทำยังไงได้ ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับลูบท้องที่ร้องส่งเสียงอย่างน่ารำคาญ ” เฮ้ย ให้ความร่วมมือหน่อยโว้ย ” ผมจำใจต้องไปเอ่ยปากกับแม่ค้าขายข้าวแผงหนึ่งที่ดูท่าจะใจดีและมีเมตตา ดูท่านะ

ผมพยายามนึกเข้าข้างตัวเอง ” แม่ค้า หิวข้าวจัง ” ดูผมซิ หิวจะตายยังมีฟอรม์อีก เดี๋ยวดูซิว่าแม่ค้าจะว่ายังไง

” ไป ปาย ให้พ้นของซื้อ ของขาย สกปรก ? ”

นั่นไง กะผิดคนอีกแล้ว แต่งตัวซะดิบดี สวมสร้อยทองซะเส้นบะเร้อ ไง จิตใจตกต่ำอย่างนี้วะ ช่างไม่มีเมตตาซะเลย ลืมเรื่องหิวซะดีกว่าปล่อยให้มันร้องไป ไอ้ท้องเวรสร้างมาให้หิวได้ไงวะ มันน่าจะกินน้ำแล้วอิ่มไปหลาย ๆ วันนะ จะดีมากเลย ไม่เป็นไร เดี๋ยวหาน้ำดื่มแถวนี่ประทังไปก่อนดีกว่า

แล้วผมก็หันมาสนใจกลับเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี่ต่อ ไม่รู้เดินกันไปไหนแล้ว ผมออกเดินตามหา นั่นไง อยู่นั่นเอง แม้กว่าจะหาเจอ ไหนเข้าไปใกล้หน่อย กำลังทำอะไรกันอยู่นะ

” ไอ้เวร ไปให้พ้น ไอ้โสโครก ” คนขายล็อตเตอรี่ตะโกนขึ้น

” อะไร กันวะ ? ” ผมพูดขึ้นอย่างฉุนๆ เริ่มชักมีน้ำโมโหแล้ว มันไม่ไห้เกียรติกันบ้างเลย แต่อย่าไปสนใจเลย ทำให้เสียสมาธิหมด เข้ามาใกล้แล้วทำอะไรอยู่นะ เนื้อตัวผมตอนนี้อุดมไปด้วยเศษฝุ่น, เศษละออง เหม็นจริง ๆ คอยดูอยู่ห่างๆดีกว่า แค๊ก แค๊กๆ ผมไอขึ้นเพราะควันจากท่อไอเสียของมอเตอร์ไซด์ที่บิดผ่านเฉียดเข้ามาที่ฟุตบาท ระยำจริงๆ จะรีบไปหาโคตรพ่อ โคตรแม่มันหรือไงนะ ริยำ

จริงๆ แล้วผมจะสบถอยู่ได้ทำไมวะ ประเดี๋ยวควันมันก็จางหายไปเอง เพี้ยง ขอให้ลอยไปหาโคตรพ่อ โคตรแม่เอ็งนะ อุว้า โว้ย พวกเนี่ยะ ทำผมเสียสมาธิอีกแล้ว ผมเดินมาหยุดอยู่ใกล้หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง นั่นไง หนุ่มสาวคู่นั่น

ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านที่มีตู้ปลาขนาดใหญ่โชว์อยู่หน้าร้านมีปลาขนาดใหญ่ว่ายวนไปมาอย่างนิ่งสงบ เหนื่อยล้าและอาจจะรู้ถึงชะตาชีวิตของมัน

” เจ้าเฒ่า ทนหน่อยนะ ไม่นานก็มีความสุข ” ผมรำพึงกับมันเสมือนว่ามันจะเข้าใจ ร้านอาหารแห่งนี่ตกแต่งอย่างสวยงาม หินที่ประดับอยู่หน้าร้าน เป็นแผ่นหินที่นำมาติดแต่งเว้นช่วงไว้สำหรับให้มองเห็นตู้ปลาได้อย่างลงตัว ไฟที่ส่องลงมาสะท้อนขับให้เห็นเกล็ดเป็นมันวาว สีสันสวยงาม นั่น คงเป็นปลาที่ลงมาใหม่ ว่ายอย่างมีพละกำลัง ดิ้นรน ค้นหา ผมพยายามเอาใจช่วยมันให้มันสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ผมสนับสนุนมันอย่างเอาใจช่วย และหวังว่าตัวอื่นๆที่เหนื่อยล้าจะมีพละกำลังขึ้นมาใหม่

” ชะตามันกำลังเล่นตลกนะเพื่อน ” ผมพูดกับมัน

มันพูดตอบกับผมว่า ” ข้ารู้ ข้าถึงไม่ยอมมันไง ” ผมก็หัวเราะขึ้นอย่างมีความสุข ความสุขที่เหมือนกับเจอเพื่อนที่รู้ใจ ถ้ามันออกมาได้ผมจะชวนมันไปดวดเหล้าซะให้เข็ดไปเลย เอ๊ะ ใครออกมานะ ดูท่าเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านแต่งตัวภูมิฐาน สวมแหวนทอง สร้อยทองซะใหญ่เชียว อีกแล้วหรือ เดินออกมาพร้อมพนักงานอีกคนที่ตามออกมายืนรีรอ เจ้าของร้านก็พูดขึ้นว่า

” เฮ้ย วันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเลยตั้งแต่ เช้ามีอยู่แค่สองสามโต๊ะ พวกมึงขยันๆกันหน่อยซิวะ จ้างมาให้เสียเงินจริงๆ กระถางต้นมง ต้นไม้นี้ เอาไปหลบให้พ้นๆ หน่อยลูกค้าจะได้เข้าออกสะดวกๆหน่อย อุวะ บอกไม่รู้จักจำ กูบอกมึงกี่ครั้งแล้ว ก็เพราะไอ้นี้หรือเปล่าวะ มันถึงไม่ค่อยจะมีลูกค้าเข้าร้าน แม่งมาทับดวงกูไม่รู้รึเปล่าวะ เวร เดี๋ยวกูไล่มึงออกเลย ”

เจ้าลูกจ้างหน้าซีดเผือดรีบละล่ำละลักพูด ” ครับ ค๊าบ ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ เฮ้ย เอ็งสองคนยืนเซ่ออยู่ทำไม เจ้านายสั่งแล้วมายกไปโว้ย ”

ผมก็คิดอยู่ในใจ มันก็สั่งต่อกันเป็นลูกโซ่เชียวนะ อ้ายเจ้านายก็โทษต้นมงต้นไม้ ไม่รู้จักโทษตัวเองบ้างเลย มนุษย์นิ แอ่นอกอย่างกล้าหาญหน่อย เจ้าต้นไม้เพื่อนข้า แทนที่จะรับแสงแดดยามเช้าอย่างสดชื่น ถ้ามันสามารถแทรกหมอกควันท่อไอเสียมาได้นะเพื่อน

ผมก็เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์อันแปลกใหม่ จนลืมสังเกตหนุ่มสาวคู่นั่นเลย หนุ่มสาวคู่นั่นกำลังอยู่ในร้าน นั่งตรงโต๊ะหัวมุมใกล้หน้าต่างติดกับกระจกที่เจ้าของร้านทำธารน้ำไหลลงมาเป็นสาย ผมเจอน้ำแล้ว เดี๋ยวต้องเข้าไปดื่มหน่อย ผมเข้าไปดื่มน้ำอย่างสดชื่นเหมือนได้แหวกว่ายลงไปในกลางธารา สดชื่นอะไรเช่นนี้ ผมก็ลอบมองสังเกตหนุ่มสาวคู่นั้นอยู่ หญิงสาวก็กำลังเปิดหนังสือขึ้นอ่านพร้อมกับพูดไปด้วย ช่างฉอเลาะซะจริง ส่วนชายหนุ่มก็นั่งพูดคุยหัวเราะและคอยจะหาโอกาสจะจับมือสาวน้อยอยู่เรื่อย หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เป็นคู่หนุ่มสาวที่มีความสุข ผมก็พลอยยินดีปรีดาไปด้วย มันช่างรื่นรมย์จริงๆที่เห็นคนมีความสุข

บริกรกำลังยกอาหารมาเสริฟหนุ่มสาวคู่นั้น ประมาณห้าหกอย่างบนโต๊ะ มันทำให้ผมน้ำลายสอด้วยความหิววิ่งถามหา แสบท้องไปหมด ผมต้องตั้งสมาธิเพื่อที่จะหยุดยั้งไอ้เจ้าความหิว ทรมานจริงๆ หนุ่มสาวพวกนี้บาปกรรมจริงๆ ดูมัน สองคนกินอะไรกันเยอะแยะอย่างนี้ ผมมองด้วยความหวังว่าเค้าคงจะมองเห็นผมและแบ่งปันให้ผมหายหิวบ้าง แค่เศษที่เหลือก็ยังดี หวังว่าคงจะมีเมตตาบ้าง

อ้าว นั่นมันไอ้เจ้าชะตานี่หว่า โธ่ เพื่อนใหม่ผม ใช่หรือเปล่า ผมมองกลับไปดู มองหาไอ้เจ้าชะตาทีอหังการตอบคำถามผมอย่างไม่ยี่หระเลย ช่างกล้าหาญเสียนี่กระไร ผมหวังว่ามันจะไม่ใช่ ผมจะได้แวะเวียนมาพูดคุยอีกยามเหงา ผมพยายามสอดส่ายสายตาค้นหาอย่างมีความหวัง ทั่งๆทีเห็นแต่เจ้าเฒ่า ไม่นะ ไม่ ชีวิตพรากชีวิต

” เขาเอาเจ้าเปรียวไปได้สักพักแล้วหละ ” เจ้าเฒ่าบอกผม ผมยังไม่อยากเชื่อ ผมเสียดายความกล้าหาญของมันจัง

” มันก็เป็นอย่างนี้แหละหว่า ชีวิต ” เจ้าเฒ่าพูดพลางขยับลำตัวซักที ทำให้รู้สึกว่ามันมีชีวิตอยู่มั่ง

” ผมไม่เข้าใจทำไม ไม่ให้เวลามันบ้าง ” ผมพูดพลางเริ่มรู้สึกสับสนกับชีวิต และไม่เข้าใจมันมากขึ้น อะไรกัน ไม่ยุติธรรมเลย

” ปล่อยๆมันไปบ้างเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ” เจ้าเฒ่าพูดยังกับว่ามันสมควรจะต้องเกิดและเป็นไป เจ้าเฒ่าคงหมดแรงที่จะต่อต้านและขัดขืน คงจะต้องกลมกลืนกับมันไป

เฮ้อ ความสุขของผมเริ่มหดหายและเริ่มมองอย่างไม่รื่นรมย์อีก กลายเป็นความซ้ำซากและน่าจำเจ ได้โปรดให้พลังกับผมอีกทีเถิด ผมหันไปมองหนุ่มสาวกำลังเอร็ดอร่อยกับเพื่อนผม ทานกันให้อร่อยเถิด เพราะมันแลกมาด้วยชีวิตที่มีคุณค่าของเพื่อนผม ผมเริ่มสับสนเริ่มงุนงงกับชีวิต ไม่ได้ผมต้องหาคำตอบกับมันให้พบ ไม่งั้นผมคงไม่มีความสุขไปกับมันตลอดชีวิตแน่ๆ ผมหันไปมองดูหนุ่มสาวคู่นั้นอีก

หนุ่มสาวคู่นั้นทานอย่างน่าเกลียดมาก เศษอาหารเหลือเยอะแยะแสดงว่าทานไปนิดเดียว แล้วมันคุ้มค่ากับชีวิตเพื่อนผมมั้ย ผมตัดสินใจเข้าไปหาคำตอบกับหนุ่มสาวคู่นั้น ผมเดินเข้าไปหากลางวงตรงโต๊ะอาหารของหนุ่มสาวคู่นั้นเพื่อที่จะถามคำถามและผมจะได้คำตอบหรือเปล่า ผมไม่ทราบแต่ผมต้องถามเพื่อที่จะได้หายข้องใจ

” กรี๊ด กรี๊ด ” ผมได้ยินเสียงกรี๊ดร้องอย่างดังจากสาวผู้น่ารัก หนุ่มน้อยแสดงความเป็นพระเอกขึ้นมาทันที ” ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยทีค่ะ ”

ผมเหลือบไปเห็นหนุ่มน้อยขยับไปมา ผมต้องการคำตอบ

” ช่วยที บ๋อยในร้านนี้มีแมลงสาบด้วยรึ ” ผมกำลังจะเอ่ยปากถามคำถาม ตุ๊บ ตุ๊บ ฉับพลันผมก็เริ่มรู้สึกโลกทั้งโลกมันหมุนติ้ว ตาพร่าไปหมด เกิดอะไรขึ้นกับผมนิ

ยัง ผมยังไม่ได้คำตอบเลย อย่าพึงเป็นอะไร ตุ๊บ ตุ๊บ ผมเริ่มเห็นแสงพร่าพรางสว่างขาวเหมือนสปอต์ไลท์ฉายส่องเจิดจ้า เรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มหายไป ผมตั้งสติอีกครั้งเพื่อที่จะถามคำถาม ตุ๊บ ตุ๊บ

” ตายยากจริงๆ ” ผมได้ยินเสียงแบบแผ่วเบา ผมทำอะไรผิด แสงเริ่มสว่างขึ้นจนชัดเจน ผมนิ่งไม่ไหวติง ร่างกายเริ่มชาและไม่รู้สึก

” เออ ตายแล้วมั้ง เฮ้ย กวาดไปทิ้งขยะ ไปโว้ย ”

ผมเริ่มยิ้ม ยิ้มอย่างมีความสุข ผมกำลังจะได้คำตอบแล้ว

” สกปรกจริงๆเลยค่ะ ตัวพวกเนี่ยหนูขยะแขยง ยี้ น่าเกลียด ” เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ผมคงจะได้คำตอบแล้ว ได้แล้ว