รถไม่ประจำทาง : เรวัติ วรรณสุข

Exclusive เรื่องสั้น

ห้าโมงแล้วยังไม่มีรถประจำทางผ่านสักคัน นั่งรอตั้งแต่สี่โมงเช้า ไม่มีที่ท่าว่าจะมีรถ ทุกครั้งรอไม่ถึงสิบนาทีก็มีรถมาแล้ว หรือว่าเกิดอุบัติเหตูที่ไหนสักแห่งทำให้รถติด ทำให้ไม่าตามกำหนดเวลาหรือว่าหยุดพักหรือว่าอีกหลายๆสาเหตุที่เรานึกไม่ออกในตอนนี้

ขณะนั่งรอรถหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา หนังสือที่อ่านเป็นหนังสือที่ติดอันดับขายดีมากจนถึงมากที่สุดเล่มหนึ่ง อยู่ในอันดับหนึ่งหลายเดือนทีเดียว เป็นหนังสือที่แฉและเปิดกลโกงต่างๆที่พวกมิจฉาชีพ พวกสังคมไม่ต้องการ ว่าพวกมันมีวิธีหลอกเหยื่อของมันอย่างไร

ผมมีความสงสัยอยู่เหมือนกันว่า คนที่เขียนเขารู้วิธีกลโกงของพวกมิจฉาชีพได้อย่างไรได้อย่างไร หรือว่าคนเขียนเคยเป็นพวกมิจฉาชีพ หรือเป็นตำรวจที่ติดตามกลโกงต่างๆของพวกสังคมไม่ต้องการ หรือว่าอีกหลายๆเหตุผลที่เกี่ยวข้อง

ยิ่งอ่านยิ่งสนุกยิ่งมันส์ แต่ต้องหยุดอ่าน เมื่อมีรถเก็งสีขาว สภาพยังใหม่เอี่ยมอ่อง มาจอดตรงหน้า กระจกรถค่อยๆเลื่อนลงเลื่อนลง ภายในรถเก็งคันนี้มีชายหญิงสองคน สงสัยเป็นสามีภรรยากัน ดูจากหน้าตาและลักษณะแล้วทั้งสองคนค่อนข้างจะมีอายุมากแล้ว สังเกตจากเริ่มมีผมสีขาวแซมผมดำของทั้งคู่บ้างแล้ว

“ไปด้วยกันไหมพ่อหนุ่ม” เสียงผู้ชายร้องถามออกมาจากรถ

“เออ ……” ผมยังไม่ตอบเพราะยังไม่แน่ใจและไว้วางใจเท่าไหร่

“พ่อหนุ่มจะเดินทางไปไหน” เสียงทุ้มต่ำเสียงเดิมร้องถามอีก

“ไปในเมืองครับ” ผมตอบ

“พอดีเลย คือพี่กับเมียจะไปในเมืองพอดี ไปด้วยกันไหม”

ผมยืนอ้ำอึ่งอยู่พักหนึ่งเพราะยังตัดสินใจยังไม่ได้

“มาเร็วยังว่างขึ้นมาเลย เรื่องเงินเรื่องทองไม่ต้องห่วง ไม่ต้องจ่าย ฟรี ขึ้นมาเลย”

ผมยืนตัดสินใจ ว่าจะไป ไม่ไป ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป ไป ก็ไป ผมยื่นมือเปิดประตูรถ แล้วเข้าไปนั่งรถเก็งคันสีขาว
.
.
.
“พ่อหนุ่มชื่ออะไร”

“นันครับ”

“ไปในเมืองบ่อยหรือเปล่า” เสียงเดิมถามพร้อมทั้งเปดไฟเลี้ยวเพื่อเลี้ยวเข้าไปในปั้มน้ำมันข้างหน้า

“ไม่ครับนานๆที” ผมตอบ

“เดี๋ยว พี่แวะเติมน้ำมันแป้บ พ่อหนุ่มจะลงไปซื้อขนมนมเนยก็ได้นะ”

“ครับ” ผมตอบ

รถเลี้ยวเข้าไปในปั้ม แล้วจอดรถเพื่อเติมน้ำมัน ผมลงจากรถเพื่อไปซื้อขนมเพราะเช้านี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย

ซื้อของเสร็จ เติมน้ำมันเสร็จก็ออกเดินทางต่อ เหลือระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตรก็จะถึงตัวเมืองแล้ว

“เออ น้องมีตังค์ย่อยให้พี่แลกไหม” ผู้ชายที่ขับรถถาม

“ขอดูก่อนครับ” ผมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาดู ผมดูเงินในกระเป๋าแล้วตอบไปว่า

“ไม่มีครับ”

“เอ้า แล้วเงินที่พี่เห็นในกระเป๋าละน้อง” ผู้ชายคนนั้นพูด

“เออคือว่า….” ไม่ทันที่ผมจะพูดเสร็จก็มีเสียงแทรกขึ้นมาว่า

“คงเป็นแบงค์พันหรือไม่ก็ห้าร้อยใช่ไหมน้อง ถ้างั้นไม่เป็นไร” ผู้ชายคนนั้นพูดแล้วขับรถต่อไป

ผมนั่งกินขนมที่เบาะข้างหลัง รถก็เคลื่อนตัวต่อไป ผมเหลือบมองดูหลักกิโลข้างทาง เหลือระยะทางอีก 20 กิโลเมตรเท่านั้นก็จะถึงตัวเมือง

รถได้ชะลอความเร็วลง จนจอดนิ่งอยู่กับที่ ที่ศาลาที่พักริมทาง กระจกรถค่อยๆเลื่อนลงเลื่อนลง ผู้ชายที่อยู่ในรถร้องถามผู้ชายอีกคนที่อยู่ในศาลาริมทางว่า

“ไปด้วยกันไหมครับ” เบาะหลังยังว่างอีกที่ เรื่องเงินทองไม่ต้องห่วงไม่ต้องจ่าย ฟรี ขึ้นมาเลย

ผู้ชายที่นั่งอยู่ที่ที่พักริมทาง จึงเดินมาที่รถ แล้วเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างๆผม ผมยิ้มทักทาย ชายคนนั้นยิ้มตอบ
.
.
.
ผมยื่นขนมก้อนสุดท้ายเข้าปากเคี้ยว เคี้ยวจนหมด

“ดื่มน้ำไหมคะน้อง” เมียผู้ชายที่ขับรถถามเพราะเธอพึ่งเห็นว่าผมพึ่งทานขนมเสร็จ

“ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือไปรับขวดน้ำที่เธอยื่นมาให้ แล้วยกขวดน้ำนั้นขึ้นดื่ม อึก อึก อึก จนเกือบหมด

“ดื่มหมดเลยคะน้องไม่ต้องเกรงใจ” เมียผู้ชายที่ขับรถพูด

พอสิ้นสุดเสียง ผมก็ยกน้ำในขวดนั้น ดื่มอึก อึก อึก จนหมด

“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว เหลืออีก 10 กิโลเมตรเอง” ผู้ชายที่ขับรถพูด เมื่อรถเคลื่อนตัวผ่านหลักกิโลเมตร

ผมรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมานิดๆ ตาเริ่มพร่า ลาย มองอะไรไม่ชัด หัวเริ่มหนัก เหมือนท่อนเหล็กใหญ่ที่หนักสักสิบกิโล หัวใจเริ่มสั่น เต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายที่นั่งข้างผมถาม

“ผมรู้สึกวิงเวียนหัว” ผมตอบ

“ผมมียาดมพอดี” ชายที่นั่งข้างผมถามพูดแล้วยื่นยาดมที่ถืออยู่ในมือให้ผม

ผมสูดดมยาดมเข้าจมูกอย่างแรง แล้วพูดว่า

“ขอบคุ……………….”
.
.
.
ผมค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วมองไปรอบๆตัว

นี่มันที่ไหนกันว่ะนี่ ผมพูดกับตัวเอง เพราะสถานที่ที่ผมยืนอยู่ ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย มันเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง ผมลุกขึ้นมองไปรอบๆอีกครั้ง แล้วก็เห็นถนนมีรถแล่นผ่าน ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้

กระเป๋าเงิน ผมยื่นมือไปหยิบกระเป๋าเงินที่กระเป๋ากางเกง แต่ไม่มี ไม่มีแล้วมันเอาไป มันเอากระเป๋าเงินผมไป มันทั้งสามคน ผู้ชายขับรถกับภรรยาและผู้ชายที่ขึ้นรถมาทีหลัง พวกมันสามคนเป็นพวกมิจฉาชีพ

ผมสูดดมหายใจเข้า แล้วปล่อยลมหายใจออก จากนั้นจึงนั่งลงกับพื้น ถอดรองเท้าออกแล้วหยิบเงินทั้งหมดที่ผมมีออกมา ผมนับเงินจำนวนนั้นว่าอยู่ครบหรือไม่

ส่วนกระเป๋าที่พวกมิจฉาชีพได้ไปนั้น ก็มีเงินเช่นกัน แต่เงินที่พวกมันได้ไปใช้ซื้ออะไรไม่ได้เพราะมันเป็นเงินกาโม่ที่ผมสะสม ซึ่งผมก็มีความเสียดายนิดๆ เหมือนกัน