อากาศเช้านี้ดีมาก ดีจนฉันรู้สึกประหลาดใจ ลมเย็นสบายและมีไออุ่นจากแสงอาทิตย์ ส่วนท้องฟ้าก็ปราศจากเมฆมาบดบัง…นี่เป็นสัญญาณอันดีซึ่งบอกว่า วันแรกของชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยของฉัน จะเริ่มต้นด้วยดี มีเพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ วิถีชีวิตใหม่ และ อุดมการณ์ใหม่…
ฉันมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยตอน 7 โมงครึ่ง โชคดีจัง ฉันมาก่อนเวลาเรียนตั้งครึ่งชั่วโมง ชักอยากเจอเพื่อนใหม่เร็วๆเสียแล้วสิ ขณะที่ฉันกำลังเดินคิดเรื่องเพื่อนอยู่นั้น ก็มีรถราคาแพงลิบคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วจนเกือบจะเฉี่ยวฉันซึ่งเดินอยู่ริมถนน
‘โอ๊ย! ‘ ฉันร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับกระโดดออกห่างจากทางที่รถวิ่ง
‘ เดินดูรถเสียบ้างสิ ไม่มีรถขับก็อย่ามาเดินเกะกะทางรถวิ่ง! ‘ ผู้หญิงคนหนึ่งในรถคั้นนั้น เปิดกระจกตะโกนออกมาด่าฉัน แล้วรถก็วิ่งจากไป ปล่อยให้ฉันยืนงงกับคำพูดประโยคนั้น…
เมื่อฉันสังเกตดูก็เห็นว่าทุกคนในมหาวิทยาลัยนี้มีรถขับกันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีรถมาส่ง ฉันพยายามมองหาคนที่ใช้บริการรถเมล์เหมือนกับฉัน แต่ก็ไม่เห็นสักคน บางทีตอนนี้อาจจะยังเช้าเกินไป คนคงยังมากันไม่มากนัก ฉันเลิกคิดเรื่องนี้แล้วรีบเดินไปยังห้องเรียน เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง ฉันมองผ่านประตูกระจกเข้าไป เห็นผู้หญิง 2 คนนั่งคุยกันอยู่ หน้าตาน่ารักดี คงจะเป็นเพื่อนที่ดีของฉันได้แน่ๆ ฉันแอบยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องเรียน เพิ่งสังเกตว่าพื้นห้องทำด้วยหินอ่อน…อะไรจะหรูปานนั้น ขนาดไฟห้องยังเป็นโคมระย้าเลย ฉันเพลิดเพลินกับการชมห้องเรียนอันตระการตานั้นอยู่นาน จนผู้หญิง 2 คนที่นั่งอยู่หน้าห้องทักฉันขึ้นมา
‘ เธอชื่ออะไรน่ะ ‘
‘ ฉันเหรอ…ชื่อนันท์จ้ะ ‘ ฉันตอบตะกุกตะกัก ‘ แล้วเธอ 2 คนชื่ออะไรล่ะ ‘
‘ เรียกฉันว่าจูนก็แล้วกัน ส่วนเพื่อนฉันชื่อเฟิร์น ‘
‘ ยินดีที่ได้รู้จักนะจูนกับเฟิร์น ‘ ฉันยิ้มแล้วเลือกที่นั่งข้างหลังคนชื่อจูน
‘ กระเป๋าเธอน่ะเป็นพวกใบละ 199 สินะ ‘ คนชื่อเฟิร์นหันมาคุยกับฉัน
‘ ใบนี้ 179 เองจ้ะ ‘
ฉันไม่รู้ว่าฉันพูดอะไรผิดหรือตลกที่ตรงไหน เฟิร์นกับจูนถึงได้ระเบิดหัวเราะออกมาเสียดังลั่น แล้วมองฉันแปลกๆ…
‘ เธอกำลังทำผิดกฎของมหา’ลัยแล้วรู้ไหม ‘ จูนพูดไปหัวเราะไป
‘ ผิดยังไงเหรอ ‘ ฉันยังงงอยู่ ในใจคิดว่าจูนคงแกล้งอำฉันเล่น
‘ อ้าว! ก็กฎที่ว่าให้นักศึกษาใช้แต่สินค้าแบรนด์เนมน่ะสิ ‘
ฉันหัวเราะลั่น นึกชมจูนว่าเข้าใจคิดมุขมาล้อฉันเล่น ตอนนี้มีนักศึกษาเข้ามานั่งเกือบครึ่งห้องแล้ว ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่า ทุกคนเหมือนมีรัศมีแห่งความหรูหราแผ่ออกมา…ออกมาจากเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้ายี่ห้อดังที่พวกเขาใช้กันอยู่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่น เพราะของที่ฉันใช้ ไม่มีรัศมีอย่างที่ว่าเลย…
สักครู่หนึ่ง อาจารย์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับรัศมีแห่งความหรูหรานั่นเช่นกัน ยิ่งทำให้ฉันกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวต่างเผ่าเข้าไปอีก… ขณะที่อาจารย์กำลังสอนก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตลอดเวลาทั้งของอาจารย์และลูกศิษย์ แถมยังรับโทรศัพท์นั่งคุยหน้าตาเฉยกันอีกด้วย มันเป็นการเสียมารยาทมากที่จะคุยโทรศัพท์ในห้องเรียนอย่างนี้ พวกเขาคงอยากแสดงให้เห็นว่ามีโทรศัพท์มือถือใช้กันทุกคน แต่อะไรก็ไม่น่าเกลียดเท่าอาจารย์ที่นอกจากจะไม่ห้ามปรามแล้วตัวเองก็ยังทำเองอีกด้วย!
หมดชั่วโมง ฉันเดินออกมาจากห้องเรียนเพียงคนเดียวด้วยความงุนงงกับความประหลาดของสังคมที่นี่… คิดว่าบางทีคงจะเจอคนที่เหมือนฉันบ้างสักคน แต่ก็ไร้วี่แวว…
‘ เดี๋ยวก่อน นักศึกษาคนนั้นน่ะ ‘ ฉันหยุดชะงักตามเสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลัง
‘ เรียกหนูหรือคะอาจารย์ ‘
‘ ใช่! คุณแต่งกายผิดระเบียบนะ ต้องถูกยึดบัตรนักศึกษา ‘
‘ ผิดระเบียบยังไงคะอาจารย์ หนูแต่งตัวเรียบร้อยถูกต้องทุกอย่างนะคะ ‘ ฉันเถียงไม่ลดละ ก็ฉันทำถูกต้องจริงๆนี่นา
‘ คุณไม่ได้อ่านระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยมาก่อนหรือยังไง ‘
‘ อ่านค่ะ แต่…อ่านไม่หมด ‘ ฉันสารภาพไปตรงๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าฉันทำผิดกฎอะไร
‘ คุณไม่ได้ใช้สินค้าแบรนด์เนมเลยทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า…มหาวิทยาลัยของเราไม่อนุญาตให้ใช้สินค้าโหลๆแบบที่คุณใช้อยู่นี้ ใครๆก็รู้ ‘ อาจารย์หนุ่มท่าทางไฮโซต่อว่าฉัน พร้อมส่งสายตาดูถูกปนรังเกียจให้อีกด้วย
‘ กฎไร้สาระแบบนี้ก็มีด้วยหรือคะ? อาจารย์มามุขเดียวกับเพื่อนหนูเลยนะเนี่ย ‘
อาจารย์คนนั้นทำท่าฉุนเฉียว สั่งให้ฉันตามไปที่ห้องพักอาจารย์ แล้วกางหนังสือกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยให้ฉันอ่าน ฉันไม่อยากจะเชื่อ ! มีกฎข้อที่ว่านี้อยู่จริงๆ อยากจะหัวเราะออกมาดังๆแต่ก็ขำไม่ออก
หลังจากถูกยึดบัตรนักศึกษาไปแล้ว ฉันก็คิดจะไปหาอะไรกินแก้กลุ้ม จังหวะเดียวกันกับที่จูนและเฟิร์นเดินผ่านมาแล้วทักทายฉันตามมารยาท
‘ กำลังจะไปไหนเหรอนันท์ พวกเรากำลังจะไปกินข้าวกัน ‘ จูนเป็นคนทักฉันก่อน
‘ เห็นว่าที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อยมากอยู่เจ้าหนึ่ง ฉันว่าจะลองไปกินหน่อย ‘ ในใจฉันคิดว่าอย่างไรก็ตาม 2 คนนี้คงไม่นิยมทานอาหารที่ร้านเล็กๆ ไม่ติดแอร์แน่ๆ…
‘ อ้าว! งั้นไปด้วยกันเลยสิ ฉันก็อยากกินอยู่เหมือนกัน ‘ เฟิร์นตอบกลับมาอย่างผิดคาด แต่ก็ทำให้ฉันดีใจเล็กน้อยที่อย่างน้อยเฟิร์นก็ยังไม่ได้ติดนิสัยหรูหราไปเสียทุกเรื่อง
ตลอดทางที่เราสามคนเดินไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือกันนั้น ฉันสังเกตว่าแถวนี้ไม่น่าจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเรือมาเปิดได้เลย เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านอาหารหรูๆ ภัตตาคารชั้นเลิศ เปิดอยู่เต็มไปหมด ถ้ามีร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่จริง คงเหมือนกาในฝูงหงส์อย่างแน่นอน และไม่น่ามีลูกค้ามากนักเพราะคนที่นี่รสนิยมสูงส่งเกินไป อย่าว่าแต่ก๋วยเตี๋ยวเรือเลย ส้มตำ น้ำตก ยังไม่น่ามีขายได้เลย
‘ ร้านนี้แหละ เราเข้าไปกันเถอะ ‘ เฟิร์นบอก จูนเดินตามเข้าไปในร้าน แต่ฉันยังยืนงงอยู่ข้างนอก
‘ เข้ามาสินันท์! ไม่อยากกินแล้วหรือยังไง ‘ จูนหันกลับมาเรียกฉัน
‘ นี่มันภัตตาคารไม่ใช่เหรอ เธออย่าบอกนะว่ามีก๋วยเตี๋ยวเรือขายที่นี่น่ะ ‘
‘ ก็นี่ล่ะ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือล่ะ ไม่เห็นเหรอว่าป้ายเขาเขียนว่า ภัตตาคารก๋วยเตี๋ยวเรือ ‘
ฉันเชื่อแล้ว…ขนาดร้านข้างๆยังเป็นภัตตาคารส้มตำเลย…ภาพร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเล็กๆ มีพัดลมติดเพดาน ตั้งอยู่ริมถนน นั่งกินไปเหงื่อตกไปนั่นไม่มีให้เห็นในย่านมหาวิทยาลัยแห่งนี้เลย ฉันต้องทนกินก๋วยเตี๋ยวเรือไฮโซที่ราคาชามหนึ่งเท่ากับก๋วยเตี๋ยวเรือโลโซ 6 ชาม สงสัยคงต้องพกข้าวกล่องจากบ้านมากินจะดีกว่า…ไม่อย่างนั้นฉันคงอดตาย…
ในที่สุดก็ได้เวลากลับบ้านเสียที ฉันรู้สึกดีใจมากที่จะได้ออกจากสังคมประหลาดที่นี่ พอกลับไปถึงบ้านแล้ว ฉันจะเล่าเรื่องที่ฉันเจอมาวันนี้ให้พ่อกับแม่ฟัง และบางทีฉันจะหนีไปสอบเข้าเรียนที่อื่น!
ระหว่างที่ฉันเดินไปที่หน้ามหาวิทยาลัย ฉันได้พบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งคงเป็นเด็กปี 1 เหมือนกับฉันนั่งร้องไห้อยู่ ด้วยนิสัยขี้สงสารบวกความสอดรู้ของฉัน จึงได้เข้าไปคุยกับเธอ…ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่ 10 นาทีเธอถึงยอมเล่าสาเหตุของความทุกข์ให้ฉันฟัง
‘ ไม่มีใครยอมคบกับฉันเลย ทุกคนไม่ยอมรับที่ฉันทำตัวธรรมดาๆ ไม่มีของใช้ราคาแพงๆ ไม่มีเงินไปเที่ยวกลางคืน รถหรูๆก็ไม่มีขับ เวลาพวกเขามองฉันเหมือนฉันเป็นไวรัสที่น่ารังเกียจ ที่จะมาทำให้สังคมของเขาสึกกร่อน…ฉันไม่อยากเรียนที่นี่แล้ว ฉันอยากตาย…!!! ‘ ว่าแล้วเธอก็ร้องไห้อีก ฉันรู้สึกเห็นใจอย่างมากเพราะฉันก็กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับผู้หญิงคนนี้เหมือนกัน เราสองคนเป็นเหมือนส่วนเกินของสังคมที่นี่ เป็นจิ๊กซอว์สองชิ้นที่เกินมา ไม่รู้จะแปะไว้ที่ไหน ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ฉันฝันไว้ กลายเป็นฝันร้ายไปเสียแล้ว!
ฉันลุกขึ้นวิ่งออกจากมหาวิทยาลัยอย่างสุดกำลัง สับสนเหมือนจะเป็นบ้า รู้สึกว่าโลกทั้งโลกไม่เหมือนเดิม…เฟอรารี่ติดมิเตอร์จอดรับผู้โดยสาร เด็กอนุบาลถือพราด้า และนั่น…ฝนตกลงมาเป็นเศษเหรียญ ใครก็ได้ช่วยฉันที!!!
‘ นันท์! ‘
เสียงใครเรียกฉันดังแผ่วๆ หรือว่าเป็นเสียงจากสวรรค์กันแน่นะ…
‘ นันท์! ตื่นได้แล้วลูก วันนี้เปิดเรียนวันแรกไม่ใช่เหรอจ๊ะ ‘
เสียงแม่นั่นเอง!
‘ ก็หนูเพิ่งกลับมาจากมหา’ลัยนี่ไงคะ…’
‘ นี่…ละเมอแล้วนะเรา รีบลุกซะ สายโด่งแล้วเห็นไหม ‘
ฉันขยี้ตาแล้วมองไปรอบๆ ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด…มันเป็นความฝันหรือนี่ สรุปว่าฉันยังไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย ยังไม่ได้ถูกยึดบัตรนักศึกษา ยังไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเรือในภัตตาคาร…???
‘ แม่! ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวเรือชามละเท่าไรคะ? ‘
‘ 10 บาท ‘ แม่เริ่มหมดความอดทนกับฉันแล้วล่ะ
ไชโย!!! โลกกลับสู่สภาพเดิมแล้ว…!