เขา :”มันควรจะเป็นความผิดของใคร ? ” เขาถามตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เขาเองก็จำไม่ได้ สำหรับเขาเองมันไม่มีเหตุผล ( หรืออาจจะมีเหตุผล ) อะไรที่จะมารองรับการกระทำของเขา เพียงแค่เขาพอใจหรือเห็นว่าควรกระทำ ก็พร้อมเสมอที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่ตนคิด ไม่ว่าการกระทำนั้นออกจะดูเลวร้ายเกินกว่าสังคมรอบข้างจะยอมรับได้ เขาผิดหรือ ? ก็ในเมื่อเขากำเนิดก่อเกิดขึ้นมา ย่อมต้องมีอิสระ เสรีภาพทางความคิดและการกระทำ ใช่! ในเมื่อมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของชีวิตของเขาเองได้ กฎเกณฑ์ของสังคมที่ชี้ถูกชี้ผิดบนพื้นฐานของการใช้ชีวิต ( เห็นหรือเปล่าว่า ชีวิตเป็นของและเป็นของอยู่ตลอดเวลา ) กฎเกณฑ์เหล่านั้นมีอะไรที่เป็นบรรทัดฐานว่า ถูกต้องแล้ว, ดีแล้ว, สมควรแล้ว, กฎเกณฑ์เหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ล้วนสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อแยกตนเองให้พ้นขึ้นมาจากสรรพสัตว์เท่านั้นไม่ใช่หรือ
เธอ : เธอเองก็ไม่ผิด ไม่ใช่หรือ ? เพราะเธอเองก็ปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์ต่างๆที่สังคมเห็นสมควรว่าต้องปฏิบัติ และควรเป็นเช่นนั้น ผิดหรือที่เธอต้องการให้สังคมยอมรับถึงการมีตัวตนของเธอ และเธอควรได้รับความเห็นใจจากสังคมบ้าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอทำในสิ่งที่สังคมคอยขีดเส้น ถึงแม้มีบางครั้งที่เธอล้ำเส้นไปบ้าง แต่ก็มีบางอย่างที่คอยบังคับให้เธอเดินตามกรอบ ( แม้ในส่วนลึกแล้วเธอเองก็ปรารถนาที่จะปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามครรลองของมันเอง? ) ถ้าในเมื่อเธอสามารถปฏิบัติตัวได้ตามแบบอย่างที่สังคมต้องการ ฉนั้นสังคมต้องมีส่วนในการรับผิดชอบต่อความผิดพลาดทุกกรณีที่เธอได้รับเช่นกัน
เขา : ลูกและชีวิตครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวัง และไม่ว่าสังคมรอบข้างจะประมาณเขาอย่างไร เขาพร้อมที่ จะยอมรับมันได้เสมอ เพราะเสียงเรียกร้องแห่งตัวตนของเขามันดังก้องกังวานจนเขามิอาจต้านทานมันได้ แต่สำหรับลูกแล้วมันอาจไม่ยุติธรรมเลยกับชีวิตน้อยๆ ใช่!ความยุติธรรม อะไรคือความยุติธรรม เขาเคยคิดว่าความยุติธรรมสามารถดำรงอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยพื้นฐานแห่งความเป็นจริง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาความยุติธรรมล้วนขึ้นตรงต่อเงื่อนไข สภาวะแวดล้อมในระยะเวลาต่างๆกัน จริงๆแล้วความยุติธรรมอาจเป็นเพียงแค่ทฤษฎีบทหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติ โอกาสของความเป็นไปได้น้อยมาก
เธอ : ลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมี ลูกคือชีวิตที่บริสุทธ์ ดูซิดวงตาที่ซื่อใส กำลังจ้องมองเหมือนขอความรักความอบอุ่น มือน้อยๆที่ไขว่คว้าหาสิ่งที่ยึดมั่นเพื่อปลอบประโลมให้คลายความหวาดกลัว ผิดหรือที่เธอต้องการเพียงแค่ชีวิตครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่น สมบูรณ์ เสมอเหมือนที่เธอเคยใฝ่หามาแต่เด็ก ผิดหรือ? ที่เธอมีสิทธ์ที่จะเลือกและปฏิเสธบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านเข้าในชีวิต เพียงแค่เติมแต่งในส่วนที่ขาดหาย เธอรู้ดีว่าในความขาดหายมีความเจ็บปวดคอยเติมเต็มมันอยู่ตลอดเวลา เธออยากบอกกับลูกว่า เธอนั้นได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะรวบรวมส่วนเสี้ยวของความสมบูรณ์ให้กับลูก
เขา : ทำไมละ? ชีวิตเขา ก็ไม่ได้สมบูรณ์ตามแบบอย่างที่ควรจะเป็น พ่อแม่เขามีปัญหาและแยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก เขาก็มิได้อุทธรณ์ร้องขอความเห็นใจจากใคร ทั้งที่เขาเองเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำและบัดนี้เขาเป็นผู้กระทำบ้างแล้วเหตุผลอันใดล่ะที่บอกว่าเขาผิด ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวัฎจักรของมันอยู่ เขาเพียงแต่เร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นก็เท่านั้นเอง ความผิด? ใช่.ความผิดมันไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่คนเราสร้างขึ้นมาเพื่อพยายามที่จะอธิบายถึงการกระทำของมนุษย์ที่ผิดไปจากกฎระเบียบที่พวกเขายึดถือปฏิบัติ จริงๆแล้วบางครั้งอาจเป็นการสนองตอบความบ้าคลั่งของมนุษย์นั่นเอง พวกเขาบางคนต้องการมีสิทธ์มีอำนาจที่จะคอยบงการชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง ถ้าเช่นนั้นเขาจะมีความผิดก็เพียงแค่ต้องการบงการชีวิตตัวเอง ก็แค่นั่นเอง
เธอ : แต่ต้องไม่ใช่กับเธอ เธอเพียงต้องการความสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานของสังคม เพื่อที่เธอจะได้โอกาสเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วยความภาคภูมิใจ มีศักดิ์ศรีในการดำรงอยู่สามารถเรียกร้องหรือได้รับสิทธิต่างๆในสังคม ได้โปรดเถอะนะ เธอกับลูกยังต้องการให้สังคมยอมรับถึงการมีตัวตนของเธอกับลูก
เขา : เขาเองก็ต้องการให้สังคมยอมรับเขาเช่นเดียวกัน สังคมต้องยอมรับและรับรู้เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ใช่.เขาต้องการให้ทุกคนรับรู้ถึงในสิ่งที่เขาคิดและเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เขารู้ดีว่าจุดมุ่งหมายของเขามีระยะทางที่ยาวไกล และเผอิญให้เธอก้าวเข้าในบางช่วงของชีวิต ลำพังแค่นั้นอาจเป็นการง่ายที่ต่างคนต่างต้องการที่จะค้นหาสิ่งที่เรียกว่าความรัก ความรักที่ตั้งอยู่บนความเปราะบาง ความรักที่ฉาบไปด้วยสีสันภายใต้ความหม่นหมองของชีวิต และความใคร่ ที่เขาและเธอคิดว่าสามารถเติมในสิ่งที่พวกเขาขาดหายไปได้ ใช่เธอเพียงก้าวเข้ามาในบางช่วงของเส้นทางชีวิตเขา ก็ถ้าในเมื่อต่างคนต่างมีความต้องการเช่นเดียวกัน แล้วใยความผิดทั้งหลายถึงมาตกอยู่กับเขาคนเดียวเล่า? ทุกวันนี้เขาไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะต้องเผชิญหน้ากับสังคม เขามีความผิดหรือ? และไม่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ สังคมก็ได้พิพากษาเขาไปแล้วโดยไม่ได้ฟังความจากเขาเลย เพราะฉะนั้นจะการดีที่เขาต้องหลบเลี่ยงหนีหน้าไปจากสังคม แล้วรอคอยให้สังคมมีเรื่องใหม่ๆที่เข้ามาสั่นคลอนมาตรฐานของการดำรงอยู่ของพวกเขา แล้วเวลานั้นพวกเขาก็จะลืมเลือนเรื่องราวของเขาเอง
เธอ : ได้โปรดเถอะนะ โปรดให้ความเมตตาตัวเธอกับลูกด้วย ชีวิตน้อยๆของลูกรอการเติบโตและเธอต้องการให้ลูกเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้อยู่ในสังคมต่อไป เธอต้องการมีเขาอยู่ข้างเคียงเป็นหลักประกันให้เธอกับลูก เพราะถ้าลูกของเธอเริ่มต้นด้วยความไม่สมบูรณ์แล้วก็เป็นการยากที่จะให้สังคมยอมรับได้ เพราะสังคมรอบข้างล้วนนิยมชมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความสมบูรณ์เพียบพร้อมในทุกเรื่อง เธอคิดว่าเขาคงเข้าใจดีเท่าๆกับเธอ เธอไม่ต้องการหนีไม่ต้องการอยู่ตามลำพัง เธอกลัวความโดดเดี่ยวที่เธอจะได้รับหากเธอหันหลังให้กับสังคม แล้วลูกของเธอล่ะ สักวันหนึ่งลูกของเธอก็คงพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม คงเป็นการโหดร้ายเกินไปสำหรับลูกของเธอที่จะได้รับ ในขณะที่กำลังก้าวเริ่มชีวิตใหม่ เพราะในอนาคตข้างหน้ามีความโหดร้ายมากมายที่รอคอยลูกของเธออยู่ เพียงบางเสี้ยวได้ไหมให้ลูกของเรามีความสุข สมบูรณ์ไปด้วยความรักของเธอและเขา
เขา : มีใครบางคนเคยถามเขาถึงความรัก ความผูกพัน ที่เขากับเธอได้ใช้เวลาช่วงสั้นๆของชีวิตอยู่ร่วมกัน ความรัก ความผูกพัน? เขาอาจจะมีความรู้สึกนี้หรือไม่มี เขาเองก็ตอบไม่ได้ เขารู้แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนก่อตัวมาจากส่วนที่ขาดหายไปของเขาและเธอ ( มันเป็นส่วนที่สังคมมอบให้เพื่อตีตราเหมือนสินค้าที่มีตำหนิ แลกกับการที่สังคมยอมรับถึงการมีตัวตนของเขาและเธอ ) หรือบางทีอาจแค่สนุกกับเธอเหมือนที่เขาเคยสนุกกับหญิงสาวหลายๆคนที่ผ่านเข้ามา เพียงแต่ครั้งนี้เขาพลาดตรงที่ไม่สามารถควบคุมมันได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เขารู้ตัวว่าบัดนี้เขาได้ก่อร่างสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา เขาสับสน หวาดกลัว ช่วงนี้เองที่สังคมเข้ามาบงการตัวเขาให้ทำตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ เขายอมทำตามด้วยความรู้สึกที่สับสน ไม่อาจตัดสินใจด้วยตัวเองได้ พวกเขาก็ได้เข้ามาปลอบประโลมให้เขาคลายความหวาดกลัว ชักจูงและบอกเส้นทางที่เขาต้องเดิน โดยมีพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมทาง เขาเดินตามทางด้วยสภาพของคนครึ่งหลับครึ่งตื่นเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงที่พร่ำบอกเขาว่า ” ดีมาก ดี เดินไปทางนั้นแหละดีแล้ว ” จนเมื่อเขาเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มประจักษ์ เสียงเหล่านั้นหายไป เขาก็เริ่มทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆพังทลายลงมา จากนั้นสังคมก็เริ่มด่าทอเขา พวกเขาสร้างดวงตราใหม่ให้เขา มันเป็นดวงตราแห่งบาป ดวงตราบาปที่พวกเขามอบให้คงจะติดตัวเขาไปตราบนานเท่านาน ไม่ใช่ซิ. อาจเป็นดวงตราแห่งเกียรติยศสำหรับเขาก็ได้ ที่ได้ตอบแทนสังคมอย่างสาสม
เธอ : ความรักความผูกพันนะเหรอ เธอคงมีให้กับลูกของเธอคนเดียว เธอมิได้มีเหลือเผื่อใคร ก็ทำไมล่ะตอนนี้เหลือเธอกับลูกเพียงสองคนเท่านั้นเอง แม้มีบางครั้งที่เธออาจเผลอใจคะนึงหาถึงช่วงเวลาในขณะนั้นที่เธออาจเผลอมอบความรู้สึกนั้นให้กับเขาบ้าง แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เธอเคยคุกเข่าอ้อนวอนเพื่อขอความเป็นธรรมให้เธอกับลูกต่อหน้าสังคม แต่พวกเขาไม่ได้ช่วยเหลือเธอไปมากกว่าถ้อยคำปลอบประโลมที่แห้งแล้ง พวกเขาเฝ้าบอกกับเธออยู่ตลอดเวลาว่า ” เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น ” แล้วพวกเขาก็เฝ้าพรรณนาถึงกฎเกณฑ์และมาตรฐานของการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าของเธอที่จะต้องทำต่อไป เพื่อที่สังคมอาจยอมลืมเลือนความผิดที่ได้เธอทำไว้ในอดีต หากเธอสามารถใช้ชีวิตได้ตามกฎระเบียบใหม่ ใช่ซิ. เธอกับลูกต้องปฏิบัติตามมันแน่?
เขา
เขาเหลือบไปมองพี่สาวของเขาที่กำลังป้อนนมลูก สายตาของหล่อนช่างเปี่ยมไปด้วยความรัก ความอาทร เมื่อยามที่หล่อนมองดูลูกน้อยในอ้อมแขน เขามองไปถึงแววตาของทารกน้อยที่ใสซื่อ บางครั้งเขาเห็นหล่อนพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมาจากส่วนลึกในใจหล่อน เพื่อไม่ให้ใครรับรู้ถึงความโศกเศร้าทรมานที่หล่อนได้รับ พรุ่งนี้แล้วซินะที่พ่อของเขาคงมาถึงกรุงเทพฯ พ่อคงมาพร้อมกับความร้อนรุ่มของไฟแห่งความรักในตัวลูกสาวและไฟแห่งความอาฆาตมาดร้ายในตัวชายหนุ่มที่เป็นพ่อของเด็ก
” มันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง! ” พ่อของเขาประกาศก้องในวันที่พ่อเขารับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ลูกสาวได้รับ ทำไมนะ? เรื่องเลวร้ายเหล่านี้ถึงได้เกิดขึ้นซ้ำซากกับชีวิตของเขาและผู้คนรอบข้าง เขาต้องทนมองดูมันเริ่มต้นและจบลงเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ เสี้ยวเวลานั้นเอง ลูก! เขาคิดถึงลูก ลูกของเขาจะมีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง คิดได้เท่านั้นเขาก็ซบหน้าลงบนฝ่ามือ เริ่มต้นร้องไห้ คงเป็นการร้องไห้ที่ยาวนาน จนกว่าพรุ่งนี้จะมาถึง
เธอ
เธอมองดูชายวัยกลางคนที่นั่งตรงกันข้ามกับเธอ มองไปที่ดวงตาของเขาที่ฉายแววของการร้องขอและการตอบแทน
” นะ .หนูนะ แล้วฉันจะส่งหนูเรียนจนจบมหาลัยเลย ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบอยู่นานแล้ว
” ส่วนเรื่องลูก หนูก็ส่งไปให้พ่อแม่หนูที่ต่างจังหวัดเลี้ยงดู แล้วฉันจะจัดค่าใช้จ่ายไว้ให้อีกส่วน ” เขายังพูดต่อไปเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีความคิดเห็นขัดแย้งหรือคล้อยตามเขา
เธอยังคงมองชายวัยกลางคนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเคารพนับถือและทราบซึ้งในบุญคุณที่เขาคอยช่วยเหลือเธอกับลูกให้ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้? เอาล่ะในเมื่อเขาต้องการ เธอก็จะสนองตอบ ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรอีกแล้วที่เธอต้องทำตาม เพราะต่อจากนี้ไปเธอจะต้องทำเพื่อลูกของเธอและไม่มีหน้าไหนในสังคมที่คอยบงการ ชีวิตเธอได้อีกต่อไป จะเป็นการยากอะไรที่เธอจะตอบตกลง เพราะอย่างน้อยเธอกับลูกก็คงจะมีหลักประกันได้ในอนาคตอันใกล้ มิใช่หรือ?