แสงไฟหลากสีสาดส่อง เสียงเพลงเร้าอารมณ์ดังอึกทึกสลับกับเสียงดีเจลีลาเร้าใจ บรั่นดีชั้นเยี่ยมกับสาวสวยข้างๆไม่ได้ทำให้อารมณ์ของธัธชัย ชายหนุ่มทายาทนักธุรกิจร้อยล้านพันล้านดีขึ้นมาได้เลย เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านผัน ซ้ำซาก หากคราวนี้ รุนแรง!
ธัธชัยใช้มือข้างหนึ่งควานหาธนบัตรในกระเป๋าเสื้อส่งให้สาวบริการด้านข้างอย่างไม่แยแส แน่นอน สาวสวยคนนั้นแค่เห็นธนบัตรสีเทาๆสักสี่ห้าใบก็ตาลุกวาว คว้าหมับจากไปทันทีโดยไม่ต้องให้ไล่ หึ… ชายหนุ่มยิ้มเยาะ อำนาจเงิน! ไม่ใช่เพราะสิ่งนี้หรอกหรือ ที่ทำให้ชีวิตเขาต้องมาเจอสภาพแบบนี้
พ่อไปทาง แม่ไปทาง พ่อ เอาแต่ทำธุรกิจ วันๆมีแต่งาน งาน และงาน แล้วแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนเขาจะทนไหว จนในที่สุด แม่ก็จากไป ทิ้งเขาไว้ให้อยู่ภายใต้การดูแลของพ่อโดยให้เหตุผลว่า พ่อสามารถให้ความสุขเขาได้มากกว่า
ใช่! เขายอมรับ ธัธชัยเชิดหน้า ถ้าในแง่ของ ‘เงิน’ นะ “อะ อ้าว ไง พ่อยอดชาย วันนี้บินเดี่ยวเลยเรอะ ไม่มีสาวสวยข้างกายสักคนเลยรึไง” เสียงเคยคุ้นดังโขมงโฉงเฉงแข่งกับเสียงดนตรีและเสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่าวัยรุ่นที่ดิ้นกันสะใจ
“ไล่ไปแล้ว”
“อารมณ์บูดแบบนี้ เรื่องนั้นอีกแล้วล่ะสิ” อีกฝ่ายนั่งลงแทนที่สาวบริการที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่
“คราวนี้หนักว่ะ” จบประโยค แก้วบางใสในอุ้งมือถูกกระดก รวดเดียวหมดแก้วจากแรงปะทุคุกโพลงภายใน “อาป๊ายื่นคำขาด หากไม่ยอมทำตามที่เค้าบอก ตัดพ่อตัดลูก!”
“แล้วนายก็มานั่งดื่มเอาดื่มเอาแบบนี้เนี่ยนะ” คู่สนทนาคล้ายจะเยาะ ธัธชัยเริ่มฉุน
“เออสิวะ ยังไงอาป๊าก็พ่อ แม้จะทำหน้าที่ได้ห่วยแตกแค่ไหนก็เหอะ”
“งั้นก็ยอมเค้า?”
“กูไม่มีทางเลือก” อีกครั้งที่รสสุราบาดคอ นัยน์ตาแดงเพราะแรงจากดีกรีและแรงกดดัน “เฮอะ นายไม่เลือกต่างหากเล่า พ่อแบบนี้ไม่สมควรเป็นพ่ออยู่แล้ว!” อีกฝ่ายยุส่ง ธัธชัยถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจนัก
“วะ! ไอ้นี่ ลามปาม”
“กูพูดจริง พ่อที่ไหนวะ ดีแต่บังคับทำโน่นทำนี่ทั้งที่ไม่เคยเอาใจใส่ เรียนก็บังคับ ต้องเรียนนั่น พอจบ ทำงานก็ต้องทำงานนี่ แต่งงานก็อุตส่าห์หามาประเคนให้ถึงที่ เหอะ พ่อแบบนี้มีทำไมวะ” คนพูดชายหางตามอง ธัธชัยนิ่ง ครุ่นคิด ใคร่ครวญหนัก
.
.
.
ถนนยามเช้ามืดว่างเสมอ รถเบนซ์คันยาวสีดำเป็นมันปลาบ แล่นด้วยความเร็วสูงเหมือนว่าจะท้าทายความตาย ธัธชัยเร่งเครื่องอีก เร่ง จนกว่ามันจะดับ!
อาป๊า นักธุรกิจส่งออกเครื่องกระป๋องรายใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตากันในวงสังคมชั้นสูง โอบกอดทักทายคนโน้นคนนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ให้เขาเห็นบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่อาป๊า จะโอบกอดลูกคนนี้อย่างที่พ่อพึงกระทำต่อลูก ตั้งแต่จำความได้ เขาก็พบว่า ชีวิตเขาได้ถูกกำหนดทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ยังเด็กๆ เขาจำได้ว่าทุกย่างก้าวของเขา จะไปไหน ทำอะไรล้วนต้องอยู่ในกฏเกณฑ์ที่อาป๊าเป็นผู้วางไว้ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะได้รับอิสระ ให้คิด และทำอย่างที่ใจต้องการ ทุกครั้งมีแต่ ‘ต้อง’ คิด ‘ต้อง’ ทำ และท้ายที่สุด ‘ต้อง’ เป็น และในที่สุด ความอดทนอดกลั้นที่เขามีมาตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีก็ทลายลงเมื่อมีประกาศิตขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน
“ลื้อต้องทำงานในบริษัทอั๊ว เพราะลื้อเป็นลูกอั๊ว เรียนรู้งานทั้งหมดเพื่อต่อไปจะได้เป็นประธารบริษัทคนต่อไป แล้วลื้อก็จะต้องแต่งงานกับลูกสาวเพื่อนอั๊วด้วยเข้าใจไหม”
“อาป๊า ผมทำไม่ได้ ขอเวลาผมทำงานข้างนอกก่อนไม่ได้หรือครับ ผมอยากพิสูจน์ตัวเอง”
ตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขากล้ามีปากมีเสียงกับผู้เป็นพ่อ ตลอดเวลาที่ผ่าน ทุกคำสั่ง คำตอบต้องเป็น “ครับ” เสมอ “แล้วเรื่องงานแต่งงานอะไรนั่น ผมรับไม่ได้ กิตติศัพท์ผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงอาป๊าก็รู้ดี แล้วยังจะให้ผม..”
“ลื้อเถียงอั๊ว?” น้ำเสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นแข่งกับธัธชัย
“ก็ผมทำไม่ได้จริงๆ”
“ลื้อ ‘ต้อง’ ทำได้”
‘ต้อง’ อีกแล้วหรือ ชายหนุ่มเม้มปากจนแทบเป็นเส้นตรง เขาอยากจะถามพ่อนัก แล้วนี่เขาจะ ‘ต้อง’ ทำตัวเป็นหุ่นเชิดของพ่อไปถึงเมื่อไร เขาจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว!!
.
.
.
รถคันงามพุ่งปราดไปเรื่อยๆ ไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง ในหัวสมองของเขาสับสน พ่อ ความหมายยิ่งใหญ่ ควรหรือที่จะอกตัญญู แต่ถ้าเขาตกลงเรื่องทำงาน ปราการด่านต่อไปก็คงไม่แคล้วต้องแต่งงานตามใจอาป๊า นี่เขาควรทำเช่นไรดี ธัธชัยหยุดรถหลอบข้างทางที่รกครึ้ม สายตาพุ่งไปด้านหน้า ดวงตาเหม่อลอย เขาหลับตาลงอย่างอ่อนล้าทั้งกายและใจ นานเท่าไรก็ไม่อาจทราบได้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีเนื่องด้วยเสียงเคาะที่กระจกรถ เขาเลื่อนกระจกลง
“คุณจอดรถข้างทางแบบนี้ระวังตำรวจนะคะ” น้ำเสียงใสๆนั้นหวังดี ประโยคต่อไปคืออาทร “ฉันเห็นคุณหลับตาอยู่ รบกวนหรือเปล่าคะ หรือไม่สบายตรงไหน แถวนี้ไม่มีคลีนิคหรือโรงพยาบาลเลย ต้องออกไปถนนใหญ่ก่อน”
“ผมไม่เป็นไร ขอบคุณมากครับ” ธัธชัยลูบหน้าตัวเอง มองรอบกาย สว่างแล้ว หญิงสาวผู้นั้นยิ้มน้อยๆ ดวงหน้าละมุนละไมปราศจากเครื่องสำอางค์เติมแต่ง น้อยคนนักที่จะดูสวยได้เป็นธรรมชาติแบบนี้ในสังคมปัจจุบัน ผมสีดำยาวประบ่า ถูกรวบเรียบร้อยเปิดดวงหน้าให้ยิ่งเด่นกระจ่าง หล่อนกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน! คุณ” ชายหนุ่มรีบเรียกรั้งไว้จนเขาอดแปลกใจตัวเองไม่ได้
“คะ?” หล่อนหันมา เลิกคิ้วโก่งได้รูปนั้นนิดๆ ธัธชัยนิ่งอึ้งไป จะตอบหล่อนไปได้ยังไงว่าอยากให้หล่อนอยู่คุยกันก่อน เพียงเพราะ เขากำลังตกอยู่ในภาวะสับสนทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของหญิงสาวผู้นี้แม้แต่น้อย ซ้ำยังเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก และ เขาก็ตัดสินใจ
“คุณจะไปไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง!”
.
.
.
ชายหนุ่มและหญิงสาวเดินเคียงกัน ไกลออกไป ธัธชัยเห็นเด็กสิบกว่าคนวิ่งเล่นสนุกสนาน อีกด้านหนึ่ง เด็กโตขึ้นมาหน่อยก็นั่งกันเป็นกลุ่ม บ้างก็นั่งคุยเล่น บ้างก็นั่งเล่นหมากเก็บไปตามเรื่อง อิสระโดยแท้
“คูณเห็นเด็กพวกนั้นไหมคะ” นุจนันท์เอ่ยขึ้นพลางหย่อนกายลงนั่นใต้โคนต้นไม้ กระแสน้ำที่รินไหลข้างกายไม่เชี่ยวนักทั้งยังใสสะอาด หล่อนวักน้ำเล่น ธัธชัยนั่งใกล้หล่อย เสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งดังเสียดหู
“เด็กพวกนั้นเป็นเด็กกำพร้า” หล่อนนิ่ง เว้นวรรค “เหมือนฉัน!”
ธัธชัยนิ่งอึ้งไปอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะทางที่ขับรถ นุจนันท์มักเป็นฝ่ายที่นั่งฟังคำระบายของเขาที่หลั่งไหลราวทำนบทลายด้วยความเงียบงันจนเขาค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น น่าแปลกที่เขาไว้ใจหล่อน
เล่าเรื่องส่วนตัวทุกอย่างทั้งที่เกิดขึ้นและความรู้สึกส่วนตัวของเขาหมดเปลือกทั้งที่เพิ่งพบหน้ากัน เขารู้แค่ว่า เขาอยากจะพูด พูดอะไรออกมาบ้างก่อนที่เขาจะอัดอั้นใจตาย และนี่ ก็เป็นประโยคแรกของหล่อนที่เปิดปากเล่าเรื่องส่วนตัวของหล่อนเอง
“พวกแกมีอิสระอย่างที่คุณอยากจะมีนะคะ คุณธัธ” หล่อนกล่าวต่อเรียบๆ
“แต่พวกแกก็เป็นได้แค่เศษใบไม้แห้งกรอบๆที่คุณนั่งทับมันอยู่เท่านั้น ไม่มีทางเป็นใบไม้สีเขียวที่อยู่บนต้นได้หรอกค่ะ”
“อิสระที่ขาดความรักความเอาใจใส่ก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้แห้งๆพวกนี้ กระแสลมก็เหมือนกับกระแสสังคมที่พร้อมจะพัดให้พวกแกต้องถูกเก็บกวาดลงขยะเมื่อไรก็ได้ ส่วนคุณก็คงจะเป็นเหมือนกับใบไม้บนต้นที่อยากจะสัมผัสพื้นน้ำ ท่องเที่ยวไปตามที่ใจต้องการ จริงอยู่ว่าลำต้นสูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขายึดคุณไว้ตามใจตัวเอง แต่คุณคิดบ้างไหมว่าใบไม้ใบเล็กๆที่ไม่เคยรู้จักโลกกว้างใบนี้จะไม่ถูกกระแสน้ำพัดพาจมลงใต้ผืนน้ำอย่างไม่มีวันกลับขึ้นมาได้” “อาป๊าไม่เคยรักผม ดีแต่สั่ง” ธัธชัยขมขื่น “เรื่องงานยังพอทน แต่เรื่องแต่งงาน ผมรับไม่ได้”
“พ่อคุณรักคุณค่ะ คุณธัธ ไม่งั้น ท่านจะไม่มาแยแสสนใจคุณเลย ซึ่งคุณก็จะเป็นเหมือนใบไม้ใบนั้น” หล่อนชี้ไปยังใบไม้สีเหลืองที่กำลังปลิดปลิวลงสู่พื้นดินช้าๆ
“ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น คุณต้องคุยกับท่านให้เข้าใจค่ะ คุณเป็นเด็กดีในสายตาท่านมาโดยตลอด หากคราวนี้คุณลองชี้แจงเหตุผล ท่านก็อาจจะฟังคุณ”
นุจนันท์ผุดลุกขึ้น ส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนิ่งคิดลำพัง
ใบไม้สีเขียวสดอีกใบล่วงลงเชื่องช้า กระทบผืนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง เขามองมันต่อไป
แรกๆ ก็ลอยประคับประคองตัวได้ดี แต่ไม่กี่อึดใจให้หลัง ใบไม้ใบนั้นก็พลิกคว่ำ ค่อยๆจมลงต่อหน้าต่อตาเขา ธัธชัยรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบ มีใบไม้กี่ใบที่สามารถล่องลอยไปจนตลอดรอดฝั่งได้บ้าง ถึงจะหลุดรอดออกจากปากแม่น้ำลงสู้ห้วงทะเลได้ก็เถอะ แต่คลื่นลม คลื่นทะเลที่ถาโถม ไม่นานมันก็ต้องคว่ำอย่างที่เขาเห็นเมื่อครู่ ธัธชัยแหงนเงยมองต้นไม้ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา หยิบเศษใบไม้แห้งขึ้นมาพิจารณา เทียบกับใบไม้สดที่จมหายไปใต้พื้นน้ำ และใบไม้ที่อยู่บนต้น ขาดอิสระ หากมั่นคง เขาจะเลือกสิ่งใด?
.
.
.
วันนี้ ธัธชัยก้าวลงจารถคันเดิม ที่เดิม ตรงมายังโคนต้นไม้ต้นเดิม นั่งลงรอคอย….
“คุณธัธ มาที่นี่ทำไมกันคะ” เสียงใสเสียงเดิมดังปลุกเขาอย่างคราวแรกที่พบกัน หากคราวนี้แฝงไว้ด้วยแววประหลาดใจ
“คุณนุจ” เขาทักทายด้วยวามยินด “ผมอยากคุยกับคุณ”
“มีเรื่องอะไรหรือคะ” หล่อนถามด้วยอัธยาศัยอันดี หย่อนกายลงนั่งข้างเขาบ้าง
หากนุจนันท์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดแผกไปจากเมื่อวาน ไม่ใช่อากรของคนที่สับสน กดดันอีกต่อไป แต่เหมือนคนที่ตัดสินใจบางอย่างแน่นอนลงไปแล้ว หญิงสาวดีใจลึกๆฟังเขาเล่าต่อไป
“อาป๊ายังคิดบังคับให้ผมต้องเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ดี ผมคุยแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล ซ้ำร้ายยังจัดหาฤกษ์งานหมั้นงานแต่งให้เสร็จสรรพ”
“คุณทำไมไม่ลองพบพูดคุยกับเธอคนนั้นดูล่ะคะ” หญิงสาวแนะ
“คุณอาจชอบเธอได้ไม่ยาก”
ธัธชัยส่ายหน้าดิก สีหน้าทั้งเอือมทั้งระอา “ข่างลงหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวันถึงคู่ควงยัยคนนี้ เปลี่ยนบ่อยขนาดนั้นผมจะไปทนรับมือยังไงไหว”
“ข่าวอาจไม่เป็นจริงเสมอไป”
“หึ” เสียงชายหนุ่มคล้ายเยาะ “ผมเคยเห็นกับตาตัวเองมาแล้วเป็นสิบๆครั้ง เชื่อไหม สิบครั้งนั่นก็เท่ากับสิบคนเข้าไปแล้ว”
“ผมอยากเป็นอย่างใบไม้บนต้น แต่ผมก็อยากจะเคลื่อนไหวตามอิสระตามกระแสลมบ้าง ไม่ใช่ใบที่แออัดยัดเยียด กระดิกตัวแทบไม่ได้ ไม่งั้น ผมว่าผมยอมเป็นใบไม้ตามกระแสน้ำที่ไม่รู้ชะตากรรมเสียยังจะดีกว่า“ “แล้วก็ถูกพัดคว่ำลงไปใต้น้ำนั่นนะคะ?” หล่อนย้อน ชายหนุ่มหันมาสบตาหญิงสาว นุจนันท์สะท้านหลบตาเขา ธัธชัยยิ้มบางๆ ยอมรับโดยสดุษฎี
“ครับ ผมไม่แคร์ใดๆทั้งสิ้น” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมเอื้อมมือกุมมือบอบบางนั้นไว้
“เพราะผมเชื่อว่าถึงกระแสลมจะพัดให้ผมคว่ำ แต่กระแสน้ำนี้จะช่วยพยุง ประคับประคองผมให้รอดไปถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย”
คุณธัธ!” นุจนันท์อุทาน เผลอหันขวับมองหน้าธัธชัยอย่างตกตะลึง ก็ได้พบกับสายตาที่จับจ้องอยู่แต่แรก หนักแน่น จริงจังและจริงใจ มั่นคงจนหล่อนต้องหลบตาเขาอีกเป็นคำรบสอง นุจนันท์ชักมือออกอย่างสุภาพซึ่งเขาก็ไม่ดื้อดึง ยินยอมปล่อยแต่โดยดี
“เราเพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวานนี้นะคะ” หญิงสาวทักท้วง ใบหน้าแดงระเรื่อ ธัธชัยหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นกิริยานั้น
“แต่สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนเดียวที่เข้าใจผมมากที่สุด ทั้งที่เพิ่งได้พบพูดคุยกันเมื่อวานนี้นั่นล่ะ ดังนั้น ผมมั่นใจ ไม่ว่าคลื่นลมจะแรงแค่ไหน ผมจะไม่มีวันพลิกคว่ำจมลงตราบใดที่ผมยังมีคุณเป็นเหมือนกระแสน้ำโอบอุ้ม ไม่ให้ผมต้องเผชิญกับเรื่องต่างๆตามลำพัง เพราะคุณรู้ใจผม”
“คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่า…”
“ผมมั่นใจ!” ชายหนุ่มเอ่ยย้ำคำเดิม ไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น เขาไม่เคยมั่นใจอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต เวลาที่ทำความรู้จักแม้น้อยนิด แต่เขากลับรู้สึกว่าได้รู้จัก คุ้นเคยกับหล่อนมานับสิบปี
“อภิโธ่! คุณธัธ ฉันเป็นแค่เด็กกำพร้า เป็นแค่ใบไม้กรอบๆไร้ค่าพวกนี้เท่านั้น”
“คุณมีค่ามากกว่านั้นหลายเท่า”
“แต่ฉันไม่..”
“อย่าเพิ่งพูดปฏิเสธผมเลยนะครับ ผมรับรองว่าจะไม่เร่งรัดคุณ ในเมื่อกระแสน้ำอย่างคุณยังไม่พร้อม แล้วใบไม้ใบเล็กๆอย่างผมจะเอาพลังที่ไหนมาผลักดันให้ผมก้าว”
“แต่ฉันไม่ได้ต้องการให้คุณแข็งขืนจนกระทั่ง ‘หัก’ กับพ่อคุณนะคะ” หล่อนอุทธรณ์อย่างร้อนใจ
“บางครั้ง ต้นไม้ใหญ่ก็ควรเรียนรู้ที่จะผลัดใบเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง อย่าพูดอีกเลยนะครับ ไว้ผมจะพาคุณไปพบอาป๊า ถึงท่านจะคัดค้านไม่ยอมรับ ผมก็ยินดีจะปลิดขั้วตัวเองเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างคุณตลอดไป คุณนุจ” คำพูดนุ่มนวล อ่อนหวาน ทำให้นุจนันท์ทำอะไรไม่ถูก ธัธชัยอดใจไม่ไหว รั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน โอบกอดหล่อนไว้หลวมๆอย่างทนุถนอม ร่างอรชรนั้นสั่นเล็กน้อยด้วยไม่เคยต้องมือชาย แต่ก็ไม่ต่อต้านแข็งขืน ราวกับจะยินดีให้เป็นเช่นนั้น
มันคงเป็นพรหมลิขิต นุจนันท์คิด ที่ทำให้หล่อนตัดสินใจเคาะกระจกรถร้องเรียกชายผู้นี้ และบัดนี้ หล่อนก็แน่ใจเช่นเดียวกับเขา เราจะสู้ไปด้วยกัน เหมือนใบไม้ที่ประคองตัวโดยอาศัยกระแสน้ำ เช่นเดียวกับ กระแสน้ำนี้ จะคอยติดตามใบไม้ใบนั้นไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม ฝั่งอยู่ไม่ไกลเกินที่จะเอื้อมถึงอย่างแน่นอน