แดดยามบ่ายจัด ส่องกระทบเงาไม้ทอดเป็นทางยาวจนมาสิ้นสุดที่ฉันยืน รถเมล์คันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไป แต่ฉันก็ไม่ได้เลือกที่จะขึ้นสายไหนเลย เพราะฉันยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่ฉันจะไป แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เป็นเสียงที่ดึงฉันมาจากความคิดทั้งมวล
“ไปกินขนมปังนมสดที่สี่แยกข้างหน้าไหม เผื่ออารมณ์จะดีขึ้นนะ” นั่นเป็นเสียงของเปร ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ฉันเสมอมา เขามักจะชวนฉันไปทานขนมปังนมสดที่นั่นที่นี่ยามที่ฉันไม่สบายใจอยู่เสมอ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอทานขนมปังปิ้งทาเนย กับกาแฟเย็นแล้วอารมณ์ของฉันจะดีขึ้นทุกครั้ง อาจเป็นเพราะทุกครั้งฉันมีเปรไปด้วยหรือเปล่านะ ฉันคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็ตอบเปรไปว่า
“ไปซิ เดินไปละกันนะ แค่นี้เอง” แล้วฉันกับเปรก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ เราสองคนมีเรื่องราวคุยกันมากมายตลอดเวลาที่ไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์ เปรเล่าว่า เมื่อคืนพ่อโทรมา พ่อจะกลับบ้านเดือนหน้าแล้ว ท่าทางเปรดูมีความสุขมากเวลาที่พูดถึงพ่อ พ่อของเปรเดินทางไปต่างประเทศบ่อยแล้วก็ไปทีละนานๆ ทิ้งให้แม่ดูแลลูกสองคนอยู่ทางนี้ นานๆจะกลับมาสักที เปรบอกว่าแม่ดีใจมากเพราะคราวนี้พ่อจะอยู่ที่บ้านนานหลายเดือน แม่จะทำอาหารที่พ่อชอบไว้ฉลองการกลับบ้านของพ่อ ส่วนเขากับพี่จะช่วยกันทำความสะอาดตกแต่งบ้านใหม่
‘พิมไปช่วยไหมเปร” ไม่รู้ยังไงสิ ฉันถึงได้ถามเปรไปอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะดูเปรมีความสุขมั๊ง
“ขอบใจนะพิม มาสิ แล้วมากินข้าววันที่พ่อกลับด้วย พิมจะได้รู้จักกับพ่อไง”
“ตกลงจ้า พิมจะไป รู้สึกตื่นเต้นจังที่จะได้เจอพ่อของเปรนะ” ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ฉันคบกับเปรมานานาน…นานจนรู้สึกว่า เรามีกันและกันอยู่เสมอ แต่ฉันก็ยังไม่เคยเจอพ่อของเปรเลยสักครั้ง ฉันตื่นเต้นมาก
“พ่อใจดีนะพิม พ่อต้องชอบพิมมากเหมือนที่แม่ชอบพิมแน่ๆ” เปรลูบผมฉันเบาๆ เหมือนกับจะให้กำลังใจ มันเป็นกิริยาที่ฉันรู้สึกอ่อนโยนเหมือนถูกถนอมไว้ ฉันจึงยิ้มให้เปรนิดหนึ่ง
ตอนนี้เราสองคนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขนมปังนมสดแล้ว ร้านนี้ฉันมองครั้งเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของร้านเป็นคนจีน ก็บรรยากาศของร้านนะไม่ได้ดูหรูหราอย่างร้านขนมปังนมสดทั่วไปที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้าชื่อดังหรอกนะ หากแต่เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่อบอวลด้วยกลิ่นไอของกาแฟและเนยสด มีโต๊ะกลมแบบจีน แล้วก็เก้าอี้ไม้กลมๆ ที่ดูไม่มีราคาค่างวดอะไร หากแต่คงหาไม่ได้ง่ายนักในสมัยนี้ที่นิยมเก้าอี้พลาสติกมากกว่าเก้าอี้ไม้เป็นแน่ ที่มุมร้านมีเตาปิ้งขนมปังแบบเป็นตู้ซึ่งไม่ใหญ่มากมายอะไร แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับเป็นเวทมนต์ที่ทำให้ผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันเข้าออกร้านนี้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนส่งเอกสารที่จอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าร้านแล้วเดินเข้ามาสั่ง
“ขนมปังปิ้ง 1 จาน กาแฟเย็น 1 ด้วย” หรือจะเป็นสาวออฟฟิศแถวนี้ที่ชอบชาเย็นใส่นม และแม้แต่คุณลุงแก่ๆ ที่ต้องถือไม้เท้าก็เช่นกัน ฉันและเปรค่อยๆ ดูดซับบรรยากาศแห่งความสุขนี้เข้าไว้ในจิตใจขณะที่นั่งทานขนมปังปิ้งกับกาแฟเย็นพร้อมกับมองผู้คนที่ผ่านไปมาในร้าน แต่ฉันก็เชื่อแน่ว่าผู้คนเหล่านี้นอกจากจะพกพาความอิ่มจากอาหารแล้วก็คงจะพกความอิ่มเอมในจิตใจกลับไปด้วยแน่นอน ก็เจ้าของร้านคนจีน ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่หลังเตาต้มกาแฟ มีหน้าตายิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าอยู่เสมอ แถมยังมีถ้อยคำหวานหู อีกด้วยนี่นา
“ขอบคุณค่ะ วันหลังเชิญใหม่นะคะ” นี่เป็นคำพูดของหญิงเจ้าของร้านขณะที่ฉันและเปรกำลังเดินออกจากร้าน และแม้แต่คุณลุงคนจีนแก่ๆ ฉันก็ได้ยินหญิงเจ้าของร้านพูดกับแกว่า “เกี่ยโท้วนะ” ซึ่งแปลได้ความว่า “เดินระวังนะ” แม้จะเป็นคำพูดห่วงใยเล็กๆน้อยๆ แต่มันก็มีความหมายกับผู้รับอย่างแน่นอนเลยทีเดียว ฉันกับเปรเดินคุยกันกลับมาที่ป้ายรถเมล์ พร้อมกับสัญญากันว่า เราจะมาร้านนี้อีกอย่างแน่นอน และตอนนี้เราก็ตกลงกันได้แล้วว่า เราจะไปไหว้พระที่วัดสุทัศน์ก่อนกลับบ้าน
เรามาถึงวัดสุทัศน์มันเป็นเวลาเย็นมากแล้วขอบฟ้าด้านตรงข้ามที่มองเห็นตึกแถวเรียงรายเริ่มมีสีส้มและสีแดงเข้มๆ หลังจากเข้าไปไหว้พระเสร็จแล้วเราก็ออกมาเดินเล่นแถวๆ เสาชิงช้า เดินไปคุยกันไป คุยถึงเรื่องเรียนบ้าง เรื่องที่บ้านบ้างรวมทั้งปัญหาที่เราทั้งคู่เจอมาตลอดสัปดาห์ เราพูดคุยหยอกล้อกันมาตลอดทาง
“นี่เปร ถ้าพ่อให้เปรย้ายไปอยู่ที่โน้นกับพ่อล่ะ เปรจะเอาไหม ” มันเป็นคำถามที่ฉันอยากจะรู้ว่าเปรคิดยังไง ก็ไม่ว่าใครถ้ามีโอกาสได้ไปเรียนเมืองนอก ก็คงตอบตกลงแน่ๆ
” ไม่หรอกพิม ถ้าเปรไปแล้วใครจะดูแลแม่กับพี่ปริมล่ะ อีกอย่างบ้านเปรอยู่ที่นี่นะ พ่อคงไม่มีความคิดย้ายไปทั้งครอบครัวหรอก ทุกอย่างของเราอยู่ที่นี่นะพิม” ฉันรู้สึกสุขใจที่เปรตอบอย่างนี้แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เปรไป ไปหาวิชาความรู้เพื่อสร้างอนาคต ไปมีชีวิตที่ดี แต่อีกใจก็กลัวว่าเปรไปแล้วไม่กลับมา ฉันจึงบอกเปรไปว่า
“เปรแต่ถ้าไปเรียนสักปี สองปี ก็ดีนะ ได้ภาษาด้วย กลับมาก็หางานง่ายออก”
” ถ้าพิมอยากให้ไป เปรไปก็ได้ดีไหม ” เปรพูดยิ้ม ๆ ฉัน กระโดดไปยืนอยู่หน้าเปรพร้อมกับเอียงคอนิดๆ
“ไม่ได้อยากจ้า แต่ถ้าเปรไปดีพิมก็ดีใจด้วยนะซิ”
“อีกละ ทำอย่างนี้อีกละ พิมนี่เหมือนเด็กเลย อายุเท่าไหร่แล้วนะเรา แก่แล้วนะ”
“ว่าพิมแก่เหรอ เปรก็แก่เหมือนกัน” ฉันพูดพลางหัวเราะ
“เออ…นี่เปรคะ ถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไรล่ะพิม”
“คือ..คือ กับข้าวเมื่อกลางวันเป็นยังไงบ้าง”ฉันจ้องหน้าเปรด้วยความอยากรู้ว่าเปรจะพูดถึงกับข้าวที่ฉันทำเมื่อกลางวันว่าอย่างไรบ้าง เปรหันมามองหน้าแววตาขี้เล่นหากแต่ทำน้ำเสียงรำคาญ
“ถามทำไม ก็…เปรว่าแกงลูกชิ้นที่พิมซื้อมาให้เปรวันก่อนอร่อยนะ”
“หมายความว่า… กับข้าวถุงอร่อยกว่าพิมทำใช่ไหม” ฉันซักยั๊วะ เลยสะบัดหน้าหนีแล้วเดินเร็วๆ จากไป
“พิม เดี๋ยวซิ จะรีบไปไหน ว้า…โกรธอีกละ ขี้งอนจริง” เปรรีบก้าวยาวๆ ตามฉันไป
“กับข้าวถุงมันอร่อยกว่า ทีหลังก็ไปซื้อกินนะไม่ต้องมาให้พิมทำให้อีก ไม่ทำให้กินแล้ว” ฉันพูดไปโดยไม่ได้คิด หากแต่มันเป็นอารมณ์โกรธ
“โธ่! พิม เราแค่ล้อเล่นนะ อย่าถือเป็นจริงเป็นจริงสิ”
“ไม่รู้ล่ะ เราจะกลับบ้านแล้ว” เราสองคนเดินเถียงกันมาเรื่อยๆ ชั่วขณะหนึ่งก็มีเสียงๆ หนึ่งแทรกขึ้นเป็นเสียงของหญิงชราท่าทางมอซอ แม้จะมีริ้วรอยตรากตรำงานหนักมาชั่วชีวิต หากแกก็ดูแข็งแรงอย่างประหลาด แกถือถุงขนมโรตี-สายไหมยื่นให้ฉันพร้อมกับพูดว่า
“โรตี-สายไหมมั๊ยหนู ถุงสุดท้ายแล้ว”
“ไม่เอาค่ะ”
“ช่วยหน่อยเถอะนะ ถุงสุดท้ายแล้ว ยายจะได้กลับบ้าน”
“ไม่เอาค่ะ”
“อร่อยนะ ช่วยหน่อยสิ”
“ไม่เอาค่ะ” พอพูดจบฉันก็เดินหนีแกไปทันที ไม่รู้ว่าฉันทำสิ่งร้ายกาจนั้นลงไปได้อย่างไร ก็แกดูน่าสงสารออก อาจจะเป็นด้วยอารมณ์โกรธที่มันเพาะอยู่ในตัวของฉันกำลังพุ่งปรี๊ดราวกับปรอทตอนน้ำเดือด พอฉันหันกลับไปก็เห็นแกเดินเข็นรถเข็นเก่าๆ จากไป ดูแกเศร้ามากเลย ภาพนั้นมันทำให้ฉันอารมณ์เย็นลงทันที แล้วฉันก็เห็นเปรยืนทำท่า…ฉันไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี หากแต่เปรพูดว่า
“ยายแกน่าสงสารนะพิม พิมไม่น่าเดินหนีแกเลย”
ใช่ฉันเริ่มรู้สึกผิด ฉันไม่น่าทำอย่างนั้นกับแกเลย ถ้าฉันซื้อขนมแกซะ แกคงได้กลับบ้านไวขึ้นอาจได้ไปเล่นกับหลานๆ ก็ไวขึ้น ที่บ้านแกมีใครบ้างนะ แกจะมีหลานเล็กๆไหม แล้วลูกแกล่ะทำอะไรทำไมปล่อยให้แกมาเดินขายของอย่างนี้ดูน่าสงสารจะแย่ คิดแล้วฉันก็คว้าข้อมือเปรแล้วออกเดินไปตามทางที่แกเข็นรถจากไป
“พิมจะไปไหนนะ เดินช้าๆ ก็ได้”
“ไม่ได้หรอกเปร พิมจะรีบไปซื้อโรตี-สายไหมกับยาย พิมรู้สึกผิด ที่ทำอย่างนั้นกับแก” ฉันพูดไปเดินไปมือก็ไม่ได้ปล่อยจากมือเปรเลย
“จะทันเหรอพิม แกเดินไปถึงโน่นแล้ว”
“ทันสิ ก็รีบเดิน แกเลี้ยวไหนเราก็เลี้ยวตาม” หากแต่พอเดินไปถึงโค้ง ที่มีทางแยกหลายทาง เรากลับไม่เห็นแกแล้วไม่รู้ว่าแกเดินไปทางไหน
“โห…แกเดินเร็วมากเลยนะพิม กลับเหอะ ไม่เจอแล้ว” เปรและฉันหยุดเดินแล้ว
“แต่ แกจะขายได้เหรอถ้าเราไม่ซื้อ แล้วแกจะกลับบ้านกี่โมงนะ พิมไม่น่าทำอย่างนั้นกับแกเลย แกน่าสงสารออก แกอาจจะมีหลานตัวเล็กรออยู่ที่บ้านนะ เดินไปอีกหน่อยเถอะนะเปรเผื่อจะเจอแกน่ะ”
แต่เปรฉุดข้อมือฉันไว้ “กลับเถอะพิม ไม่เจอหรอก ถ้าแกขายไม่ได้แกก็เอากลับบ้านเองแหละ แล้วบางทีถ้าแกมีหลาน แกอาจจะเอาขนมนั่นกลับไปให้หลานแกกินก็ได้นะ”
ฉันหันไปมองทางที่ทางแยกอีกครั้ง แล้วตัดใจเดินกลับมาตามแรงดึงของเปร ฉันรู้สึกว่าตัวเองแย่จริงๆ
“อย่าคิดมาก พิม ไว้วันหลังเจอค่อยแก้ตัวซื้อโรตี-สายไหมแกก็ได้ ซื้อสักสิบถุงเลยดีไหม” ฉันยิ้มให้เปรหากแต่รอยยิ้มนั้นเหมือนกับจะสัญญาว่าถ้าเจอแกคราวหน้าฉันจะซื้อขนมโรตี-สายไหมกับแก เป็นการไถ่โทษที่ฉันทำไม่ดีกับแกไว้