โลกทัศน์ : ทองหยิบ

เรื่องสั้น

“สอง…หนึ่ง…สอง สอง…สอง…สี่ สอง…สาม…หก สอง…สี่…?”
“เฮ้ย ! หนวกหูว่ะ หยุดเถอะ”
“กูก็นอนไม่หลับ”
“นอนไม่หลับมันก็เรื่องของมึง แต่กูกำลังจะหลับ ไป ! โน้นห้องน้ำ”
“แต่กูไม่ได้ปวดเยี่ยว”
“ไอ้เปรต ! กูให้มึงไปนอนท่องสูตรหารในนั้นโว้ย”
“สูตรคูณหรอก ไม่ใช่สูตรหาร”
“สูตรห่าเหวอะไรของมึง มึงก็ไปเถอะ กูจะนอน กูรำคาญ เข้าใจมั้ย”

หนึ่งนาฬิกา ณ ห้องสี่เหลี่ยมขนาดจิ๋ว บนแฟลตที่ 29 ยังปรากฏแสงนีออนเล็ดลอดออกมารำไรจากท้ายห้อง ความเงียบสงัดแห่งช่วงเวลาราตรีถูกปลุกให้ตื่นด้วยสรรพสำเนียงเสียงท่องสูตรอันชวนปวดประสาทของไอ้โลก เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงแล้วที่มันยังคงแหกปากท่องสูตรคูณในห้องน้ำ แต่ยังไม่ถึงแม่ห้าสักที

“เมื่อไหร่มึงถึงจะ…?”

“เกือบถึงแม่ห้าแล้ว…แล้ว…แล้ว…” เสียงไอ้โลกตะโกนดังก้องห้องน้ำ

“กูถามมึงว่าเมื่อไหร่มึงถึงจะหยุด นี่มึงขี้ด้วยใช่มั้ย กลิ่นเหม็นหึ่งเลยไอ้เวร กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าเวลาขี้ให้ปิดประตูด้วย”

“เออว่ะ กูลืมอีกแล้ว”
.
.
.
“ผมนายภิวัฒน์ โลกา รหัส 381276001 ชื่อเล่น โลก มาจากโรงเรียนวัดพระยาอุตระเมฆิณทร์หลวง ความสามารถพิเศษ ร้องเพลงกล่อมเด็กได้ ครับ !”

ผมยังจำวันแรกของการรับน้องปี 1 ได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ที่อยู่คณะเดียวกัน การรายงานตัวถือเป็นภารกิจแรกที่เฟรชชี่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ และท่องจำให้ขึ้นใจ หากจะต้องทำความรู้จักกับใครสักคนในวันนั้น คนแรกเลยที่ผมจะไม่เลือกก็คือมัน ไอ้โลกา “คนบ้าอะไรว่ะชื่อโลก” ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับมันจริง ๆ แต่ฟ้าก็บรรดาลโทสะผ่าเปรี้ยงตอนกลางวันหลังพักกินข้าว ไม่รู้อะไรดลใจให้มันเดินตรงรี่เข้ามาหาผม ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัว มันก็เปิดเกมบุกชนิดพับสนามเข้าใส่ผม

“สวัสดีครับ ผมภิวัฒน์ เรียกชื่อเล่นก็ได้ โลก ยังไงล่ะครับ จำผมได้ใช่มั้ย ผมขึ้นไปแนะนำตัวเป็นคนแรกไง คุณชื่ออะไรนะครับ ผมจำไม่ได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณจะมีความสามารถพิเศษคือ…อะไรน้า…อ้อ ! จำได้แล้ว หลับเก่งใช่มั้ยครับ ผมน่ะชอบจริง ๆ คนหลับเก่ง ค่ำไหนนอนนั่น ผมซะอีกชอบร้องเพลงกล่อมเด็กให้หลับแต่ตัวเองกลับหลับโคตรยากเลย ว้า…พูดมากจัง คุณพูดบ้างซิ”

มันแสยะยิ้มแก้เขินให้กับผม อัปลักษณ์ที่สุด

เรื่องของเรื่องก็คือ จะให้ผมสอนเทคนิคการนอนง่าย ก็เลยเข้ามาทำความรู้จัก โธ่ ! ไอ้ทุเรศ ใครจะไปสอนกันได้ว่ะ มันเป็นความสามารถเฉพาะตัว และที่ผมบอกความสามารถพิเศษนี้ไปตอนแนะนำตัวนั้น เพราะผมนึกอะไรไม่ออก…

หลังจากวันนั้น เราก็เป็นเงาตามตัวของกันและกัน ไม่ใช่ ๆ ต้องพูดว่ามันก็เป็นเงาตามตัวของผมทุกวัน จนเงาจริง ๆ ของผมงอนไม่ยอมออกไปไหนมาไหนด้วย นอนเล่นเครื่องเพลย์อยู่กับบ้าน จนผมต้องซื้อเกมส์ใหม่ ๆ ไปง้อเงาตัวเองอยู่ตลอด แต่มันก็ไม่เลิกงอนซะที แถมประชดประชันด้วยว่า “ก็ไปใช้บริการไอ้โลกมันสิ เห็นติดกันยังกับปลาท่องโก๋ แล้วจะให้ตัวมันไปอยู่ตรงไหน มันก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน มีศักดิ์ศรีโว้ย !”

“จะเอายังไงกับมันดี” ผมคิดหาทางที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการที่ไอ้โลกมันล่ามผมกับมันเอาไว้ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังคิดไม่ออก ปล่อยเลยตามเลยไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวมันก็คงเบื่อที่ผมไม่สามารถสอนมันได้ ก็คงจะไปเองแหละ
.
.
.
“นายมีพ่อแม่รึเปล่า?” โลกถามผมในวันที่ผมชวนมันไปกินเหล้าเป็นครั้งแรก

“เอ๊ะ ! ไอ้นี่มันชักจะเอาใหญ่ รู้จักกันไม่เท่าไหร่ ถามคำถามกวนบาทาซะแล้ว หรือว่ามันเมาก็คงไม่ใช่ เห็นกินแต่โซดา มันบ้าหรือเปล่าว่ะ” ผมชักเริ่มสำนึกผิดที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ดันไปคบเด็กมหา’ลัยสร้างตึกซะแล้ว

“มึงต้องตอบคำถามกูก่อน แล้วกูจะตอบคำถามมึง ตกลงมั้ย” ผมยียวนมันบ้าง

“นายมีปัญญา เอ้ยปัญหาอะไรมาถามเราหรือ ?”

“ทำไมมึงถึงกินแต่โซดาว่ะ ไอ้โลกพระจันทร์ ? ”

“ก็นายชวนเรามากินเหล้า แสดงว่านายอยากกินเหล้า เราเลยไม่อยากแย่งนายก็เลยกินโซดาดีกว่า ซ่าดีด้วย แต่เดี๋ยว ! เราชื่อโลกเฉย ๆ ไม่ใช่โลกพระจันทร์นะ”

“มึงแดกเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย อยากหลับง่ายไม่ใช่เหรอ หรือว่าอยากหลับเร็ว กูจะได้เอาขวดฟาดกบาลให้สักที เรื่องมากนักมึงนี่”

เป็นอันว่าคืนนั้นมันหลับง่ายจริง ๆ เพราะมันเมาหลับฟุบคาโต๊ะตั้งแต่อยู่ในร้าน ลำบากลำบนผมอีกที่ต้องหิ้วมันไปนอนบ้านด้วย คืนนั้นทั้งคือคนนอนเก่งอย่างผมก็กลายเป็นคนนอนน้อยไปโดยปริยาย ก็ไอ้โลกพระจันทร์มันเล่นนอนกรนเสียงดังถล่มทลาย จนผมไม่เป็นอันนอน
.
.
.
คงจะเป็นเพราะสวรรค์กลั่นแกล้ง หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา ไอ้โลกพระจันทร์ก็จำแลงแฝงกายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านผมไปโดยอัตโนมัติ หนำซ้ำยังทำตัวเป็นลูกชายคนโปรดกับแม่ผมซะอีก ช่วงเวลานั้นผมเดินไปไหนมาไหนในบ้าน ก็คล้ายเป็นมนุษย์ล่องหนไปเสียแล้ว ไม่มีใครสนใจ หมายังไม่มองเลย คิดดู!!…. จนเริ่มผิดสังเกตเพราะเวลาเดินมักจะมีกลิ่นตุ ๆ โชยมาเข้าจมูก ใช่แล้ว!กลิ่นมันลอยมาจากเบื้องบนกบาลของผมนั่นเอง อนิจจัง…อนิจจา…โธ่ ! ไอ้หัวเน่า

มันคงช้าไปแล้วที่ผมจะหามาตราการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสให้คนหลงใหลของไอ้โลก เพราะทุกคนในบ้านติดกันงอมแงม มันมีอะไรน่าพิสวาสนักเหรอ ทำไมพ่อกับแม่รวมถึงหมาในบ้านถึงได้ชื่นชมมันนัก โลกดียังงั้น โลกดียังงี้ ตัวมันเองก็ไม่กระดากเขินอายเลยที่จะทำตัวตีสนิทกับทุกคน มันมีอะไรดีวะ ?

…คืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังหลับสบายอยู่บนเตียง ซึ่งผมไม่ได้ทำอย่างนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ไอ้โลกมันเข้ามายึดอำนาจ แต่คืนนี้ไม่มีเสียงกรนของมันมากวนหู เพราะมันไม่อยู่ บอกกับแม่ (ของผม) ว่าจะไปต่างจังหวัด ผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอยู่ดี ๆ ทำไมมันถึงจะไปต่างจังหวัด แต่ก็ไม่อยากถาม ขี้เกียจฟังมันสาธยาย จู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมงัวเงียคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมารับ ปรากฏว่าปลายสายเป็นเสียงไอ้โลก “มันอีกแล้วหรือนี่ ยังไม่เลิกจองเวรกูอีกหรือ ขอแค่สองสามวันก็ยังดี”

“มึงมีอะไรอีก นอนไม่หลับก็เอาหัวโขกกับกำแพงสักทีสองที เดี๋ยวก็หลับ” ผมร่ายยาวโดยไม่ฟังเสียงจากปลายสายอีกข้างหนึ่ง

“กูจะชวนมึงไปกินเหล้า” น้ำเสียงเศร้าสร้อย น่าสงสารจับใจ

“อ้อเหรอ…จะให้กูไปกินเหล้ากับมึงจังหวัดไหนล่ะ” ผมประชดเข้าให้

“กรุงเทพ หน้าปากซอยบ้านมึงนี่แหละ”

“อ้าว ! ไอ้เวร ไหนบอกว่าไปต่างจังหวัดไง” ผมชักเริ่มสงสัย

ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่าตั้งแต่ผมเริ่มรู้จักกับไอ้โลกเนี่ย ชีวิตผมเปลี่ยนไปมากเหมือนกลับไปใช้ชีวิตอยู่สมัย ร.5 ยังไงยังงั้น ก็เพิ่งจะรู้ว่าอารมณ์ของทาสในยุคสมัยนั้นเป็นยังไง

ผมเดินทอกแท่กอย่างคนหมดอาลัยตายอยากออกจากบ้าน ตลอดทางพยายามนึกสรรหาคำด่าต่าง ๆ นานาเตรียมไว้ไปประเคนใส่ไอ้โลกามหาวินาศที่รออยู่หน้าปากซอย

“คอยดูนะมึง กูจะด่าให้ง่วงเลย…ไอ้โลก”

ทันทีที่เข้าไปในร้าน ผมก็ตกใจตาแหกหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ก็มันเล่นตั้งขวดเหล้าไว้ตั้ง 3 กลม

“เฮ้ย ! มึงจะเอามาอาบเหรอ กลมเดียวก็จะตายห่าแล้ว นี่ล่อสั่งมาตั้งสาม มึงจะกินถึงชาติหน้าเหรอ เดี๋ยวก็ได้เมาตายห่ากันพอดี” ผมยังตื่นเต้น

“น้องกูตายแล้ว” น้ำเสียงเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน มันแปรอารมณ์ของผมให้เปลี่ยนไปในทันที

“มึงว่าอะไรนะ น้องมึงตายเหรอ” ผมทวนคำเพื่อความแน่ใจ

“มึงฟังไม่ผิดหรอก กูรักเค้ามาก เค้าไม่น่ามาด่วนจากไปเสียตั้งแต่อายุยังน้อย” หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อล้นเต็มเบ้า มันกำลังหลุดออกจากทำนบกั้น ทยอยไหลออกมาคล้ายกำลังชะล้างคราบความเสียใจให้หมดสิ้น ใครจะรู้ว่าใจที่เสียไปแล้ว ล้างอย่างไรก็ยากจะหมด แต่มันก็คงช่วยให้จางลงได้ในวินาทีนั้น แล้วตำหนิที่เกิดขึ้นล่ะ ทำอย่างไรก็ยังคงเห็นอยู่ตลอดไป

เมา ! …ผมเมาคนเดียว แต่กินไม่หมด หิ้วเอาขวดที่เหลือกลับบ้านไปนอนหนุนหัวแทนหมอน ไอ้โลกไม่แตะอะไรเลย นั่งเช็ดน้ำตาทั้งคืนตัวงี้ฉ่ำไปด้วยน้ำ สรุปว่ามันเมาน้ำตา ผมเมาเหล้า…

“กูจะนอนแล้วนะ มึงหลับหรือยังวะไอ้โลก”

“ยัง มึงก็รู้ว่ากูหลับยาก คิดอะไรไปเรื่อย ๆ” ตีนเริ่มกระดิกไปมา

“ไอ้เรื่อย ๆ ของมึงนี่ คิดอะไรนักหนาวะ”

“หลากหลายว่ะ แต่ตอนนี้คิดว่าทำยังไงจะให้น้องเค้ามาหากูได้ กูอยากคุยกับเค้าเป็นครั้งสุดท้าย” ตีนกระดิกเร็วถี่ขึ้น

“ถ้ามึงยังอยากนอนในห้องนี้ มึงหยุดพูดเลยนะ” ผมเริ่มตาสว่างเมื่อได้ยินมันพูด

“พูดถึงน้องมึง แล้วพ่อแม่มึงเค้าเป็นยังไงบ้างวะ คงเสียใจแย่” ผมรู้สึกเศร้าไปกับคำพูดตัวเองด้วย เมื่อนึกว่าถ้าเป็นตัวเองตาย พ่อกับแม่คงจะอยู่ไม่ได้แน่ถ้าชีวิตนี้ไม่มีผม นึกถึงตรงนี้แล้วพาลให้คิดกับตัวเอง เราซะอีกที่ไม่เคยใส่ใจในตัวท่านเลย แย่จริง ๆ ไอ้ลูกไม่ค่อยกตัญญูอย่างเราเนี่ย”

“กูไม่มีพ่อแม่หรอก” เสียงของไอ้โลกทำให้ผมตื่นจากห้วงคำนึง

“กูเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เป็นใครก็ไม่รู้ ลืมตามาดูโลกก็เห็นแต่เด็กกำพร้าด้วยกันมาตลอด กูคิดอยู่เสมอว่าเด็กกำพร้าทุก ๆ คนคือพี่น้องที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกับกูทั้งนั้น เพราะทุก ๆ คนต่างก็เกิดมาจากพ่อแม่ที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้พวกกูเกิดมาเหมือนกัน น้องคนที่ตายไปเนี่ยกูเลี้ยงมากับมือ ป้อนข้าวป้อนนม ร้องเพลงกล่อมจนเค้าโต กูเลี้ยงมาหลายคนแล้วจนบางครั้งกูยังเคยถามตัวเองเลยว่า กูเกิดมาใช้กรรมอะไร ? ที่ใครก่อ ? ทำไมกูถึงต้องมาเลี้ยงเด็ก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยมีใครเคยคิดจะเลี้ยง แต่บางเวลากูก็ดีใจที่ได้ทำแบบนี้ เพราะมันทำให้จิตใจของกูไม่แห้งแล้ง หัวใจของกูมักจะคอยมีน้ำทิพย์มาชโลมอยู่เสมอ เมื่อวันใดที่กูเห็นน้อง ๆ ได้มีโอกาสก้าวไปสู่สิ่งที่ดี ๆ ไปเจอสังคมที่เค้าต้อนรับคนอย่างพวกกู แค่นี้กูก็ดีใจแล้ว ชีวิตคนเรามันไม่เลวร้ายไปซะทั้งหมดหรอกวะ อย่างน้อยกูก็ได้เพื่อนอย่างมึง ได้เจอครอบครัวที่อบอุ่นของมึง เชื่อมั้ยว่าพอกูได้คบกับมึง มุมมองกูเปลี่ยนไปเยอะมากเลย กูรักครอบครัวมึง ดีใจที่แม่มึงเรียกกูว่าเจ้าโลก ไม่เคยมีใครเคยเรียกกูอย่างนี้เลยนะ”

“นิทานเรื่องนี้ ตั้งชื่อแล้วหรือยังวะไอ้โลก”

ผมหลับตาลงนานแล้ว แต่สมองยังตื่นอยู่ ห้วงเวลาในวัยเยาว์ทยอยมาปรากฏภาพให้เห็นตรงหน้า ผมเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ที่รักและห่วงใยเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟัก มดไม่ให้ไต่บันไดไม่ให้ขึ้น สมัยเด็ก ๆ ผมแทบจะไม่ต้องเดินเองเลย เพราะท่านทั้งสองคอยพลัดกันอุ้มอยู่ตลอด ผมได้ซึมซับไออุ่นแห่งความรัก ทุก ๆ ครั้งที่พ่อจับผมแบกขึ้นหลัง หรือแม่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เสมอก่อนที่ผมจะหลับตานอนทุกคืน นึกอยากได้อะไรเป็นต้องได้ ครั้งหนึ่งผมเดินผ่านร้านขายไอติม ผมอยากกินจึงร้องขอให้ท่านซื้อ ท่านก็ตามใจซื้อมาให้ แต่มันไม่เพียงพอสำหรับผม ผมอยากได้เยอะ ๆ

“แล้วจะกินหมดหรือลูก” ผมยังจำคำที่แม่ถามผมได้ดี ผมไม่นึกสนใจว่าจะกินหมดหรือไม่ เพียงขอให้ได้ตามที่ต้องการเป็นพอ ท่านก็ซื้อให้ แล้วผมก็กินไม่หมด เหลือทิ้ง

แต่ ณ วันนี้ผมไม่คิดจะกินไอติมอีกแล้วล่ะ แต่ก็จะซื้อเยอะ ๆ เหมือนเดิม เอาไว้ยัดปากไอ้โลกสักสี่ห้าแท่ง นอนกรนเสียงดังนัก และที่สำคัญผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเคยขอหรือได้รับไอติมจากใครหรือเปล่า

“กูเป็นคนรับมานานแล้ว ขอบใจนะโว้ย ! ที่ทำให้คนอย่างกูได้รู้จักให้บ้าง” เสียงกรนของมันกลบเสียงผม เหมือนกับว่าช่องปากที่เผยอเปิดออกมาของมัน คล้ายเป็นเครื่องดูดเสียงก็ไม่ปาน
.
.
.
สี่ห้าปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอมันอีกเลย นับตั้งแต่เรียนจบ คงมีแต่เสียงทางโทรศัพท์บ้าง นาน ๆ ทีที่มันจะโทรมาหา มันบอกว่างานยุ่งมาก เดี๋ยวไปจังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ฟังมันเล่าแล้วน่าเวียนหัว เคยถามมันเหมือนกันว่าไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่ (ของผม) บ้างหรือ เพราะท่านบ่นคิดถึง มันเสือก ยียวนตอบมาว่า

“รอให้กูหมุนรอบตัวเองอีกสัก 365 รอบก่อน แล้วกูจะกลับ”

จะว่าไปแล้ว ผมก็คิดถึงมันเหมือนกันนะ เพราะช่วงที่ผ่านมาผมรู้สึกตัวเบา ๆ ยังไงไม่รู้ ก็จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ยังไง ไม่มีทั้งไอ้โลก แถมเงาของตัวเองก็หนีหายกลายไปเป็นเงาของคนอื่นซะอีก ยิ่งต้องย้ายออกมาอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ด้วยแล้ว โอ้ย ! เหงารับประทานล่ะทีนี้ มันช่วยไม่ได้นี่นา ก็ไอ้ที่ทำงานมันดันอยู่ไกลจากบ้านตัวเอง จะไม่ทำก็ไม่ได้ เงินเดือนมันเยอะล่อตาล่อใจซะด้วย ช่างมัน! เหงาแต่ก็รวยล่ะวะ

“หน้าหมา…หน้าหมา…” เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ดัง ทำเอาผมสะดุ้ง วางมือจากของที่กำลังทำอยู่ในห้องน้ำ

“คนจะขี้จะเยี่ยว โทรมาทำห่าอะไรตอนนี้วะ” ทำหน้าเหยเก แล้วเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์

“ฮัลโหล…….”
.
.
.
“ผมชื่อ ภิวัฒน์ โลกา ชื่อเล่น โลก ความสามารถพิเศษ ร้องเพลงกล่อมเด็กได้ครับ เอ้า ! พูดตามกูซิ”

“มันยาวกูจำไม่ได้ สั้น ๆ หน่อยเด่ะ”

“หัดจำหน่อยซิไอ้เวร เดี๋ยวกูต้องสอนอย่างอื่นมึงอีกเยอะแยะเลยนะ”

มันย้ายมาอยู่กับผมได้ 3 เดือนแล้ว นับตั้งแต่คนงานที่มันคุมไซส์งานอยู่ทำค้อนหล่นใส่หัวมัน หมดสติไป 2 อาทิตย์ ตอนแรกก็นึกว่าตาย เตรียมวัดตัวตัดโลง จองศาลากันแล้ว แต่มันทำ เซอร์ไพรส์ลืมตาตื่นขึ้นมาแหกปากร้องลั่นโรงพยาบาล ร้องไม่ร้องเปล่าแถมลุกขึ้นมาเยี่ยวเป็นน้ำพุรอบเตียง ภายหลังหมอบอกว่า สมองมันหลวม ไม่บ้านะแต่แค่บิ่น ๆ ความจำเสื่อม แต่วันดีคืนดีอาจกลับมาปึ๋งปั๋งเหมือนเดิมได้ หากช่วยกันเล้าโลม

“เฮ้ย ! หมอ ใช่สมองแน่เหรอ ?” ผมชักเริ่มมีอารมณ์ประหลาด

“แน่ครับ ก็หมอบอกแล้วไงว่าสมองหลวม ต้องเล้าโลมบ่อย ๆ เดี๋ยวฟิต”

จึงเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยายที่ต้องคอยเล้าโลมสมองของไอ้โลกทุกวัน วันนี้ก็เพิ่งสอนให้หัดท่องสูตรคูณ พัฒนาการดีมาก ท่องทั้งวันจนผมปวดประสาท แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อผมยังอยากซื้อไอติมแบ่งมันอยู่นี่

“เฮ้ย ! มึงมานอนบนเตียงได้แล้ว อย่าลืมราดส้วมด้วยล่ะ”

“กูไปท่องต่อบนเตียงได้มั้ยล่ะ ยังไม่ง่วงเลย” เสียงเทน้ำดังเป็นระยะ ๆ

“เออ…เรื่องของมึง กูชักจะชินแล้ว เพลินดีเหมือนกัน” มันก้าวขึ้นมาบนเตียงทิ้งตัวลงดังโครม !

“เดี๋ยว ๆ ! อย่าเพิ่งหลับ กูมีอะไรจะถาม…คือ…กูจำชื่อมึงไม่ได้อีกแล้วล่ะ”

“เฮ้อ!…กูชื่อ ทัศน์ โว้ยไอ้โลกา จำไว้”