ยามบ่ายวันหนึ่งฉันยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ สาธารณะหน้าห้าง สรรพสินค้า อันลือชื่อ ในจังหวัดบ้านเกิดของฉัน เพื่อหมุนหมายเลขไป ยังค่ายทหารจังหวัดที่ฉันรู้จักดี ฉันพยายามจะพูดเสียงดัง แข่งกับเสียง เครื่องยนต์ จากรถราที่ผ่านไปมาขวักไขว่ เพราะว่ายามบ่ายๆนี้ การจราจรที่ถนนเส้นนี้จะคับคั่ง นี่คือจุดเริ่มต้น เพื่อการ ติดต่อกับเขา- เขา –คนที่ฉันนับวันรออยากพบมาเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าสิบห้าปี ฉัน และ เขา จากกันโดยไม่มีแม้คำอำลา คำสัญญา หรือ แม้กำหนด เวลาว่า เราจะได้พบกันอีก ความพยายามของฉันสำเร็จ เมื่อได้โทรฯเข้าหน่วยที่เขาสังกัด และ ฝากข้อ ความว่า -น้องสาว มาจาก ยุโรป มาเยี่ยมบ้า น อยากให้พี่ไปหาที่บ้าน
จากนั้นฉันก็ได้เพียงภาวนาให้ข้อความนั้น ได้ไปถึงเขา และ นั่งหวังลมๆแล้งๆ รอวันที่เขาจะติดต่อกลับมา ใน จิตใจก็สับสน ระคนกับความกังวลต่างๆนานา เหตุใดฉันยังต้องการพบเขาอีก และ คำว่า พี่ -น้อง ที่ฉันใช้นั้น มันช่างเป็นการโกหกตนเองอย่างร้ายกาจ
ทำไมหรือ? ความปราถนาของหัวใจ จึงไม่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เหนืออื่นใด พอที่จะกำหนดชะตา เส้นทาง เดินชีวิต ของฉันหรือ? แต่แทนที่ฉันจะต่อสู้ ขวนขวาย เพื่อให้สมหวัง ฉันกลับก้มหัวยอมรับความเป็นจริง และ ใช้ชีวิต ด้วยจิตใจที่ทรมานวันแล้ววันเล่า มีความสุข ภายนอก แต่ภายหัวใจ กลับรอ้นระอุ ราวกับภูเขาไฟที่คุกรุ่นรอการ ระเบิด ฉันเองก็เช่นกัน ฉันก็รอวันนั้น วันที่ชะตาชีวิตจะขีดเส้นให้ฉัน และ เขา ได้มาพบกันอีกครั้ง แล้ววันนั้น คงไม่มี สิ่งใด มาระงับความปราถนา ห่วงหา อาทรจากหัวใจฉันที่รู้สึกต่อเขามาตลอด ไม่ว่า ความสำนึกชั่วดี หรือความรับผิดชอบต่างๆที่ฉันพกติดตัวตลอด ฉันคงไม่ปฏิเสธเขาอีก เพราะว่า ฉันเคยทำ ผิดต่อหัวใจ ของตนเอง มาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง
เกือบสองอาทิตย์ที่แล้วที่ฉันได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ตั้งแต่ปลายเดือนตุลา พบกับเมฆฝนที่ตั้งเค้า มืดครื้มทะมึน เป็นฝนหลงฤดู แสงอาทิตย์ก็รอโอกาสสาดส่องทะลุก้อนเมฆดำ โดยไม่รู้ว่าวันใดฟ้าจะสาง และเมฆดำนั้น จะจางหายไปเสียที เปรียบเสมือนฉัน ที่ตก เป็นทาสแห่งการรอคอย กับวัน เวลา ที่ไร้ความหวัง แต่ ฉันก็ไม่มีทาง นอกจากรอ ฉันเฝ้ารอคอยการ มาเยือนของเขา ด้วยจิตใจที่กระสับกระส่าย แต่ละ ชั่วโมง แต่ละวัน ที่ผ่านไป ฉันยิ่งเหงาหงอย
เช้าวันหนึ่งเมื่อแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องนอกหน้าต่าง ฉันก็เกิดความหวังขึ้นมาในหัวใจ รีบกระวีกระวาด ลุกขึ้น จากที่นอน ทำความสะอาดบ้านอันเป็นกิจวัตรประจำวัน และออกนอกบ้าน เพื่อทำการดายหญ้าริมรั้วบ้านด้าน ที่ติดถนน โดยไม่เกิดความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีอาหารเช้า นอกจากน้ำเต้าหู้ ร้อนๆ พอเคลือบกระเพาะ พอสายๆ น้าสาว หรือ แม่รองของฉันก็นวยนาด ออกมาจากบ้านที่อยู่ไม่ห่างกันมาก เธอมาส่งข่าวว่า เขาโทรศัพท์มา ต้องการคุยกับฉัน อีกห้า นาทีจะโทรฯมาอีก
แม่รองคงสังเกตเห็นว่า ฉันมีแววปลื้มปิติ ยินดี ในดวงตา และรอยยิ้ม ฉันนึกขอบคุณแม่รองของฉันมาก ที่เธอไม่เอ่ย ถามฉันสักคำว่า เขา -เป็นใคร ทำไมจึง โทรฯมาหาฉัน ถึงแม้ฉันรู้ดีว่าฉันได้แต่งงานตามธรรมเนียมของ ชาวตะวันตก และฉันกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย โดยที่ เขาผู้ซึ่งมีชื่อ ติดตราไว้ที่แหวนทั้งสองวงที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉัน ไม่ได้มาด้วย แต่เขาก็ต้องไว้วางใจฉัน แล้วทำไมฉันจึงดิ้นรน อยากพบ เขา- คนที่ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึง หรือ เอ่ยชื่อ แต่ ฉันยังเก็บเขาไว้ ในก้นบึ้งลึกๆของ หัวใจ โดย ที่ปากก็บอกว่า เขาเป็นพี่ชายที่ฉันรักมาก และ เขาอาจจะ เคยรักฉัน หรือว่า เราสองคนอาจจะ เคยมีจิต ผูกพันฉันท์คนรัก แต่ไม่มีใคร ยอมรับ หรือ แสดงออกมา จนกระทั่งเวลา และ เหตุการณ์ชีวิต ทำให้เราสองคนพลัดพรากจากกัน ทั้งๆที่ความรู้สึกนั้น ยังไม่สูญหายไป
ฉันรับโทรศัพท์ พูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ประหม่า และ ไม่อยากเชื่อว่า มันเป็นความจริง ที่เขาบอกว่า ” พี่จะแวะมาหาน่ะ ตอนนี้ ออกมาจากต่างประเทศอยู่ กำลันั่งรถ ข้ามชายแดนมาผ่านทางเขาพระวิหาร อาจจะใช้เวลา สามชั่วโมง ฉันไม่สามารถปกปิดความปลื้มปิติของตนเองได้ เมื่อหลังจากเขาวางหูโทรศัพท์ ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตนเองว่า เขายังคิดถึงและอยากพบฉัน แต่ที่แน่ๆ เขากำลังจะมาเยือนฉัน อย่างที่เขาเคยมาเมื่อ สิบหกปีที่แล้ว ที่เขามา วนเวียนเฝ้าฉันอยู่ เมื่อเขายังอายุ ๒๖-๒๗ ปี ยังเป็นเพียง นายสิบหนุ่ม และม่ายเนื้อหอม รายได้สูง มีเงิน แบ็งค์สีแดง –ม่วง มาจ่ายค่าเหล้ายา อาหาร ยามใด ที่เขาเขามาเยี่ยมเยียนฉัน ก็หยิบยื่นเงินค่าขนมให้ฉัน และน้อง เป็นวิธีการ เอาชนะใจสาวๆ โดยเฉพาะ เด็กวัยรุ่น วัย ๑๖-๑๗ ปี อย่างฉัน. เมื่อยามใดที่คิดย้อนหลังถึงเหตุการณ์เช่นนี้ หลายๆครั้ง ก็พอจะเข้าใจถึงเจตนารมณ์อันดีงามของเขา ที่อยาก แสดงความมีน้ำใจ และหยิบยื่นความช่วยเหลือ ให้ความอบอุ่น และ ความรักต่อฉัน แต่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะว่า อายุเขามากกว่าฉันถึง สิบปี จึงไม่เหมาะที่ เขาจะมาพรรณาคำว่ารัก หรือบรรยายความรู้สึก ของเขา ที่มีต่อฉัน ด้วย ข้ออ้างที่เขาเเคยว่า ฉันยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรมาก และ มีหลายอย่างที่ไม่เขาไม่สมควรพูด.
แต่ –วันนี้เมื่อเขาได้โทรฯมาว่าบอกว่าเขาจะแวะมาหาฉัน มันเปรียบเสมือน พลังทางจิตวเิศษ ที่เสริมให้เกิดความกล้า ขึ้นมาในตัวฉัน และไม่เกรงกับถ้อยคำข้อครหาของคนอื่นๆ ที่จะได้ยิน เพราะฉันรู้ว่า คงจะต้อง ตกเป็นที่นินทา ของผู้รู้เห็น ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขา เหยียบย่างเข้ามาถึงบ้านฉัน เขายังอยู่ในนฐานะคนรักเก่า เมื่อ สมัย สิบหกปีที่แล้ว
เมื่อฉันมองนาฬิกาก็คาดว่า เขาคงจะมาถึงประมาณบ่ายโมงกว่า เขาคงดีใจถ้าฉันเตรียมอาหารเที่ยง หรือ ของ ขบเคี้ยวรอ เพราะว่า เขาจะมากันสองคน ฉันคิดว่าคงจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาหา ฉันโดยลำพัง เพราะฉันรู้จักเขาดี เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง นิสัยของความเป็นคนขี้อาย ถ้าเขาไม่ได้ดื่มมาก่อน เขาก็ไม่กล้ามาสู้หน้าฉัน และนั่งคุยด้วยนานๆ ขอ้เสียของเขาข้อนี้ เป็นสิ่งที่ฉันมองข้ามมาตลอด เพราะว่า ความรัก ในตัวเขามากนั่นเอง แต่ก็พยายามมองไปในแง่ดีว่า มันทำให้ฉันได้มีโอกาสพบ และ อยู่ใกล้ๆได้พูดคุยกับเขานานๆ
แม่รองนั่งสูบบุหรี่ บนบันไดไม้ยาวของเรือนนั่งเล่นรับลม ที่มีหลังคามุงด้วยใบจาก มีบรรยากาศเย็นๆ ด้วยร่มเงา ของต้นเฟื่องฟ้าอันสูงสง่า และ กำลังออกดอก สีชมพู-ม่วง สะพรั่งบนต้น ที่สวนหน้าบ้าน ฉันไปนั่งคุย กับเธอ หลังจากที่วางสายไป เพราะว่า ฉันเองก็มั่นใจว่า เธอคงอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร และอาจมีคำถามอื่นๆ ที่ต้องการคำตอบ แล้วตัว ฉันเองก็ต้องการพูดคุยกับใครสักคน เพื่อที่ฉันสามารถระบายความรู้สึกนึกคิด ความอัดอั้นตันใจของฉัน ที่มีต่อเขา กับคนอื่น ที่ฉันเชื่อถือ ไว้วางใจ นอกจากตัวฉันเอง
แต่วันนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยากไปหมด ตั้งแต่ การค้นหา ลองเสิ้อผ้า ที่ฉันมีในตู้ไม่กี่ชุด และ ฉันเองก็ไม่สามารถ สวมใส่อะไร อย่างน้องสาว หรือ แม่ ที่เคยชิน กับความร้อนอบอ้าว ฉันมักสวมเป็นชุดกระโปรงยาว ผ้าโปร่ง แต่ ไม่ได้ หรอก เดี๋ยวเขาก็จะ เข้าใจว่า ฉันแต่งตัวเลิศเลอเพื่อรอเขา ที่เพียงแวะผ่านมาเยี่ยมไม่กี่ชั่วโมง ในที่สุด ฉันก็ เลือกชุดเก่งเป็นกางเกงยืด ขายาว สีดำ และหยิบเสื้อแขนสั้นนักฟุตบอล ของน้องสาวที่ตัวโกร่งๆ ระบายลม สวมสบาย ไม่รอ้น แล้วก็ทาแป้งสีทัฟ เติมลิปสติคที่มีสีเดียวกับผิวสีน้ำตาลอ่อน ปล่อยผมยาว ที่เพิ่งสระมาหมาดๆ ยังมีกลิ่น หอมกรุ่นๆ จากยานวดผม แล้วก็ฉีดสเปรย์น้ำ หอมกลิ่นจางๆ ที่เป็นกลิ่นโปรด จากปารีส ด้วยชื่อที่แปล เป็นภาษาไทยว่า —ตกห้วงรักอีกครั้ง –ช่างเหมาะกับฉันเสียจริง เมื่อใกล้เวลาที่เขานัดว่าจะมาถึง ฉันก็นั่งอยู่กับหลายๆคนที่ระเบียงหน้าบ้าน คุยกันเรื่องจิปาถะ และแต่งสีเล็บ กับแม่รองของฉัน
แต่หูฉันก็จดจ่ออยู่กับเสียงรถยนต์ทุกคันที่ผ่านมาบนถนนกลางหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีวี่แววของเขา จนกระทั่ง มีรถปิคอัพคันสีเงิน มาจอดเทียบที่รั้วข้างบ้าน ใต้ต้นชมพู่ ฉันก็ยังไม่ใส่ใจ เพราะไม่คิดว่าเขา จะมาใน รถคันนั้น ก็เขาเป็นนักรบในชุดสีดำ คนในเครื่องแบบ ออกราชการ เขาคงใช้รถจี๊ปอันสมบุกสมบันของทหาร แต่ฉันก็ต้องยอมจำนน กับคำของน้องสาวคนเล็ก เมื่อเธอบอกว่า ” ป้า พี่ หลอง จริงๆด้วย มีคนอื่นมาด้วย ฉันเงยหน้ามองไป ก็เห็น ผู้ชายวัยกลางคน ผมยาวหยักโศกสีดำประปรายด้วยเส้นผมสีเทา หวีเรียบไปข้างหลัง ที่คางมีเคราสีเทาๆประปราย หน้าตาก็คลับคล้ายคลับคลา เขาคนนั้น แต่ ช่วยด้วย ไฉน เขาจึงแลดูแก่เฒ่าราว กับคน ที่มี อายุสัก ๕๐ กว่าปี แต่ก็มีร่องรอยแห่งความหล่อเหลา ดวงตาที่คมเข้ม เหมือนเขาคนนั้น ที่ฉันเคยแอบชื่นชม และ ฝันถึง ฉันเกิดความลังเลขึ้นมาอย่างที่ช่วยไม่ได้ จนกระทั่งง น้องสาว ยืนขึ้น และ เอ่ยทักเขาคนนั้น ” อ้าว ป้าจ๋า พี่หลองมาน่ะ ใช่พี่จริงๆด้วยน่ะ”
เมื่อเขาก็ทักทายน้องสาวฉัน ความลังเลทั้งหมดก็จางหายไป เพราะว่า ถึงแม้ว่า หน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไป ตามวัย แต่น้ำเสียงที่พูดภาษาไทย -สำเนียงอิสาน เป็นเสียงที่ฉันคุ้นหู เพราะว่าน้ำเสียงของเขาที่ฉันได้ยิน ไม่ต่างจาก ทางโทรศัพท์ ทำให้ฉันรีบลุกขึ้น และเดินเก้งก้าง ออกไปโดยไม่สวมรองเท้า เพราะว่าสีทาเล็บเท้ายังไม่แห้งดีนัก “สวัสดีค้ะพี่ เอี้ยง ดีใจที่พี่มาหา”
ฉันทักทายเขาตามธรรมเนียม และสังเกตกิริยาเขาไปด้วย สายตาเขาฉายแววปลื้มปิติ พอๆกับฉัน เขามี รอยยิ้ม บนใบหน้า และ หันไปแนะนำฉันกับผู้หญิงวัยเดียวกัน ที่กำลังพยายามออกจากที่นั่งผู้โดยสารเบาะหลัง ” เอี้ยง นี่สวัสดีแฟนพี่น่ะ ฉันใจหายวูบ เขามีภรรยามาด้วย แถมอายุมากเชียว ฉันไม่เคยคิดฝันว่า เขายังอยู่กับภรรยา ทั้งๆที่เขาเคย พูดเล่า บอกฉันทางโทรศัพท์ เมื่อก่อนที่ฉันจะมาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ว่า เขาแยกกันไปนานแล้ว ความผิดหวังเกิดขึ้นในใจ อย่างช่วยไม่ได้ สักครู่เขาก็เอ่ยอีก
“พูดเล่นน่ะ ไม่ใช่หรอก พี่สาวคนนี้ เขาเป็นพี่สาวของนักข่าว เด็กที่พี่อาศัยรถเขามา แฟนพี่เขาไปจากพี่แล้ว”
ฉันเลยโล่งใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่อยากจะคิดในเรื่องต้องห้ามกับเขา แล้วเขาก็หันไปหยิบเอา แตงโมมาห้าหกลูก จากกะบะท้ายรถ ส่งมาให้ฉันซึ่งยืนเก้ๆกังๆ เนื่องจากความประหม่า และรู้สึกว่า แขนขา ของฉันมันยาวเป็นพิเศษ ในวินาทีนั้นที่เขายืนใกล้ๆ ยื่นแตงโมลูกเขียวๆ ให้ฉันที่รับไว้เต็มออ้มแขน ฉันเอง ก็เดาว่า เขาก็อาจจะเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับฉัน เพราะถึงแม้เขาจะเห็นว่า อ้อมแขนฉันเต็มไปด้วยแตงลูกใหญ่ๆ สองสาม ลูกแล้ว ฉันจะรับอีกไม่ได้ เขาก็ยังหยิบส่งมาเรื่อยๆ โดยไม่หยุดยั้ง
โธ่เอ๊ย เขาก็คงประหม่า และ ไม่สามารถควบคุม การกระทำของตนเองได้ ทั้งๆที่เขามาจากชายแดน ที่ แสนจะ เหี้ยมโหด หรือ เคยผ่านสนามรบ เผชิญหน้าข้าศึกมาไม่รู้กี่ครั้ง หรือ แม้แต่ การกระโดดร่มสูงๆ ที่ทหาร พลร่ม หน่วยรบพิเศษ อย่างเขาไม่ เคยเกรงกลัว แต่วินาทีที่ฉันยืนอยู่ต่อหน้าฉัน หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาสิบห้าปี มันคง ไม่ง่ายต่อการบังคับความรู้สึก เพราะว่าทุกอย่างจะฉายแววออกทางสายตา เนื่องจากดวงตาของคนเราก็ คือ หน้าต่างของดวงใจ เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของฉัน มันก็คงจะฟ้องความรู้สึกเช่นเดียวกัน ของฉันที่มีต่อเขา มาอย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อรถที่มาส่งเขากลับไปแล้ว เขาก็บอกฉันว่า คนขับรถ และ เขาได้ตกลงกันว่า จะมารับเขาจากที่นี่ ประมาณ ห้าโมงเย็น เพราะว่า เขายังมีภาระกิจ ไม่มีเวลาพัก “พี่เป็นรองหัวหน้า เอาลูกน้องไปวางตามจุดต่างๆ สั่งงานแล้วพี่ก็ต้องดูแล เพราะว่า เราจะต้องรักษาหน้าที่ มีวินัย งานนี้สำคัญมากเนี่ยพี่คิดว่าไม่กล้ามาหาเอี้ยงน่ะ พี่อาย เพราะงานนี้ พี่ต้องปล่อยตัวให้เหมือนชาวบ้าน อยู่ตาม ท้องไร่ท้องนา จนได้สมญานามว่า พ่อใหญ่หงอก และจะตัดผม โกนหนวดเคราก็ไม่ได้ เพราะยังไม่หมด ภาระกิจ รองเท้าก็ไม่ให้สวม พี่เพิ่งมีโอกาส สวมเสื้ออผ้าดีๆ วันนี้เอง”
ฉันรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาอย่างจับใจ และกังวลไม่อยากให้เขากลับวันนั้น เพราะว่า ถ้าเขากลับ ก็หมายถึงว่า ฉันจะได้พบเขาเพียงสามชั่วโมงกว่า มันไม่เพียงพอเลยกับความคิดถึง ที่มีต่อเขามาตลอดเวลาสิบห้าปี ที่ฉัน และเขา จากกัน โดยที่ไม่มีสักวันที่ฉันจะลืมคิดถึงเขา ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ทางชายแดนไทย-กัมพูชา
“เอี้ยงไม่อยากให้พี่กลับ มาแล้วก็น่าจะนอน ยังคุยกันได้ไม่กี่ประโยคเลย จะรีบกลับเสียแล้ว น่าเกลียด” ทั้งฉัน น้องสาวและน้องเขยอีกคน ต่างช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้เขานอนค้างที่บ้าน เขาคงเข้าใจสื่อสายตาของฉัน ที่วิงวอน ไม่ให้เขาไป ในที่สุดเขาก็ยอมทำตาม
ฉันนั่งห่างจากเขาเพียงแค่เอื้อม ทั้งน้องสาว และน้องเขยก็นั่งอุ้มวง ฟังเขาพูด เมื่อฉันถามเรื่องราว ชีวิต การงาน ครอบครัวในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ฉันอำลาผืนแผ่นดินแม่ เมื่อเรียนจบ และไปทำงาน แสวงโชคที่ยุโรป จนกระทั่งมาพบกับเขาวันนี้อีกครั้ง ฉันแอบสังเกตุดูเขา และเกิดความสงสารขึ้นมาจับใจ เพราะว่าเมื่อพบกันในวินาทีแรกวันนี้ ฉันก็ไม่เชื่อสายตา ว่าจะเป็นคนๆเดียวกัน เนื่องจากฉันวาดฝันรอชายคนนี้ในชุดเครื่องแบบ หรือ ที่ถูกตอ้ง เครื่องแบบสีดำ ของหน่วย ลาดตะเวณรบพิเศษ ที่ฉันเคยจำเขาได้มาตลอด แต่ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉัน กลับแต่งตัว แบบพลเรือน ในชุด กางเกงยีนส์ เก่าๆ สีนำงินซีด เสื้อยืดแขนสั้น ลาย ขาว-น้ำเงิน มีปก และสวมรองเท้าแตะฟองน้ำ คู่เก่าๆ แบบ ชาวบ้านธรรมดาๆ
เมื่อฉันฟังเขาเล่าเรื่องหน้าที่ๆเขามีอยู่ก็เกิดความเข้าใจ และ เห็นใจเขามากขึ้น หรือ จะให้ถูกต้องที่สุด ก็คือ วันนี้ที่ฉันได้พบเขาอีกครั้ง ฉันยิ่งรัก ชื่นชมเขายิ่งขึ้น และในหัวใจนั้น อยากจะเข้าไปกอด เพื่อทักทายเขา อย่างชาวตะวันตก ที่แสดงความเอาใจใส่ต่อกัน ตั้งแต่วินาทีแรก ที่ฉันพบหน้าเขา ให้สมกับความคิดถึง ที่สะสม มาหลายปี แต่ใจฉันไม่กล้าพอ เพราะว่า ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ที่กลับมาเยี่ยมบ้าน และ ต้อง ปฏิบัติตัว ตามขนบธรรมเนียม ประเพณี อันดีงามของชาวไทย ซึ่งฉันคิดว่า มันไม่ยุติธรรมสักนิด ทำไมหรือ? ฉันเกิดมา ทำอะไรผิด จึงต้องยินยอมให้ กฏเกณฑ์บางอย่าง มาจำกัดความคิดอิสระของฉัน ทำให้ฉันไม่สามารถ แสดงความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขา ออกมาให้เขาได้รับรู่เพราะว่า ผู้ชายคนนี้ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉัน กำลังจะจาก ฉันไปอีก ภายในไม่กี่ชั่วโมง และฉันเองไม่มี โอกาสรู้เลยว่า การจากกันครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น ฉันจะต้องรออีกกี่ปี กว่าที่ฉัน และเขา จะมีโอกาสสบสายตาอันเปี่ยมไปด้วย ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันอย่างวันนี้
เขานั่งดื่มเบียร์ ที่ฉันเอาออกมาต้อนรับ ฉันเองก็หยิบขวดเครื่องดื่มสำหรับผู้หญิง มานั่งจิบเป็นเพื่อนเขา เริ่มคุย และ ฉันก็ชวนเขาคุยเรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาเทียวไปเทียวมาที่บ้านฉัน ความจำของเขาดีพอควร เขาจะพูดย้ำอยู่บ่อยๆว่า ” อ้าย ก้อยเนี่ยแหละ ตัวขัดความสุขเรา ไม่ยอมห่างพี่สาวเลยน่ะ คลอเคลียตลอด ไม่เคยได้อยู่สองตอ่สอง กะเอี้ยงเลย มันเฝ้าตลอด ต้องหลอกให้ไปหาซื้อเหล้า แล้วก็ต้องมีทิปให้อีก พอได้อยู่กับพี่สาวบ้าง ไม่งั้น ก็เป็นก้างขวางคอมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนเลยน่ะ วันนี้ก็อีกหละ คอยดูสิ แต่เอ้อ เอี้ยงจ่อยกว่าในรูปถ่าย ที่ส่งๆมาน่ะ ในรูปอ้วนเชียว
.
.
.
เขาคุย- ฉันฟังและปลื้มใจ ที่เขาชมว่า ตัวจริงฉันแลดูผอมกว่าในรูป แล้วฉันก็ขอให้เขาเล่าถึงอุบัติเหตุเมื่อปีที่แล้ว ที่เขาประสบอย่างรุนแรงและมีผลกระทบต่อระบบสมอง ดวงตาข้างขวา ที่เสียไป และ หนี้สิน ที่เขาต้องรักษา ตัวหลายเดือน ขณะที่ฉันก็นั่งฟังเขาเล่า ก็ไม่ละสายตาจากเขาแม้แต่วินาที ในหัวใจ อยากเอื้อมมือไปลูบไล้ ใบหน้า อันคมเข้ม ที่มีเคราประปรายที่คาง และสัมผัส เส้นผมที่เป็นลอนของเขา ฉันอยากจุมพิตรอยบาดแผลที่เขาต้องผ่าตัดที่กะศีรษะ และ ปัดเป่า เอาความทุกข์โศก เคราะห์ กรรม ความเจ็บปวด ที่เขาประสบมา ให้มันหมดไป ฉันอยากจะบอกเขาอีกว่า ” ที่รัก ฉันจะเป็นคนที่มาดูแล รักษา ยามเธอเจ็บป่วย ให้ความอบอุ่น และ ลูบไล้เธอ ด้วยมือสองข้าง อันบอบบาง ของฉัน ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งรัก เพื่อนำชีวิตรัก ความสุข ที่เธอสมควรจะ ได้รับ ไม่ใช่เพียง ความ ลำบาก ตรากตรำที่เธอได้พบมาตลอด ทั้งเมื่อเธอจำเป็นต้องเผชิญในภาระกิจ หรือ แม้ยามที่เธอไม่เต็มใจพบกับมัน โดย ไม่มีสิทธิ์หลีกเลี่ยง ฉันคนนี้จะขอเป็นคนที่ คอยห่วงใย ดูแล และอยู่เคียงในใจเธอ ยามเธอต้องการ ใครสักคน ในวันสุดท้าย ถึงจะเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะเลือก ฉันก็อยากให้เธอรับรู้ไว้ ว่าแม้ว่า วันเวลา หรือ ขอบฟ้า อันกว้างไกล จะมากั้นขวาง ฉันก็ยัง ไม่เปลี่ยนแปลง.
.
.
.
ฉันหวังว่า เขาคงเข้าใจถึงความรู้สึก อันลึกซึ้งของฉัน ที่มีต่อเขา เป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่มา และ ไม่ยอม เสี่ยงละทิ้งหน้าที่การงานอันสำคัญ ที่เขาได้รับมอบหมาย ฉันต้องประหลาดใจ เมื่อเขาเอ่ยปากชวนไปที่ร้านอาหาร ที่ห้วยฯ อันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่ขึ้นชื่อของ จังหวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่นัก ฉันไม่มีทางเลือกเพราะว่า เมื่อเขาพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนบอกให้น้องเขย ขับ รถจักรยานยนต์ไปส่งที่ร้านอาหาร ริมห้วยฯ เขานำหน้าไปก่อน ฉันก็เตรียมตัวรอไปเที่ยวที่สอง แต่ฉันก็ไม่วายที่จะ กังวลว่า การไปอยู่ สองต่อสองกับเขาเพียงลำพัง คงไม่เหมาะ แต่แม่น้องสาวตัวดีของฉัน กลับไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก
“ก็พี่เค้าไม่ได้พบป้ามากว่าสิบห้าปี ก็เป็นธรรมดาที่ เขา อยากจะอยู่ตามลำพัง สองต่อสองกับกับป้าน่ะสิ ไปเถอะ ไม่ตอ้งกลัวหรอก ใกล้ๆบ้านเราเอง เขาคงมีเรื่องราวส่วนตัวที่เขาอยากคุยด้วย และ ที่สำคัญเขายังรักป้าอยู่ มองดูสายตาที่เขามองป้า มันฟ้องความรู้สึก มาอย่างโจ่งแจ้ง เห็นเป็นป้ายขึ้นที่หน้าผากเขาน่ะป้าว่า เขายังรักป้าเสมอ — แล้วในยามเย็นวันนี้ ฉันอยู่ตรงหน้าเขา คนละฝั่งโต๊ะ ที่ร้านอาหารชายทุง ในบรรยากาศเย็นๆ ตะวันเริ่ม เปลี่ยนสี เมื่อมองดูแสงแดดที่ส่องสะท้อนไปยังน้ำในห้วยฯ ฉันหันหลังให้ถนนเลียบฝั่ง เขามาก่อน ก็เลือกหันหน้า ไปยังถนน และ มองทิวทัศน์ ฉันก็เข้าใจเพราะว่า นักรบอย่างเขา ไม่ลืมที่จะถือความ ปลอดภัย ไว้ก่อน แล้วเขาก็เอ่ยเมื่อฉันมาอยู่เบื้องหน้า “เป็นครั้งแรกที่พี่เป็นอิสระจาก คู่อารักขาและลูกน้อง ที่คอยคุ้มกัน เนื่องจากภาระกิจ ที่พี่เกี่ยวข้องอยู่ มีโอกาส เสี่ยงต่อภัยจากจากผู้ประสงค์ร้าย ปกติไม่ว่าไปไหน พี่จะไม่เคยได้ไปตามลำพัง วันนี้ พี่รู้สึกสบายใจมาก ได้อยู่กับเอี้ยงสองคน
ฉันก็เลยอด ขำไม่ได้ จึงล้อเขาว่า ขณะนี้มีแต่ผู้ประสงค์ดีต่อเขาอยู่ตรงหน้า และแต่ฉันก็เข้าว่า เขาคงพยายาม ที่จะเอ่ยว่า เขามีความสุขกับการได้พบฉันสองต่อสอง ในบรรยากาศแบบนี้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ เขากับฉัน ได้รู้จักกัน แต่เนื่องจากคนในอาชีพเขา ถูกฝึกฝนให้เก็บความรู้สึกมาตลอด เขาจึงไม่เคยแสดงออกนอกหน้าว่า รักชอบฉัน หรือ คบกันในฐานะคนรักกันธรรมดา ฉะนั้นมัน จึงไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะเอ่ยคำพรรณาถึงความรู้สึกที่มีต่อฉัน เมื่อพนักงานบริการยกเครื่องดื่ม และ อาหาร มาเสริ์ฟ ฉันก็เริ่มจิบไวน์คูลเลอร์ เป็นแก้วที่สอง เขาก็คงจะ ดื่ม เบียร์ขวดที่สามที่ฉันเห็น และ หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พ่นควันออกไปยาวๆ มีท่าทางครุ่นคิด เป็นกิริยาที่ฉันคุ้นตา เมื่อยามที่เขาคุยกับฉันที่บ้าน เมื่อสิบกว่าปีก่อน ฉันเข้าใจทันทีว่า เขาคงมีอะไรที่จะพูด และพยายาม รวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยว่า ” อีกแปดปีน่ะเอี้ยง ถ้าจะกลับมาอยู่เมืองไทยกับพี่ ตอนนี้เอี้ยงก็อายุสามสิบเอ็ด พี่ก็สี่สิบเอ็ด อีกแปดปี เธอก็ สามสิบเก้า ถ้ามาได้พี่จะนับจากวันนี้ รอไปเรื่อยๆ พี่มาวันนี้ ก็เพียงเพราะอยากพูดประโยคนี้ให้เด็ดขาด ไม่มาพูดซ้ำอีก พูดแล้วรู้กันวันนี้เลย จบกัน ไม่ต้องพูดอีก แค่
นี้หละ ฟังเขาสิ จู่ๆก็ยิงคำถามให้ฉันด้วยเสียงที่ราบเรียบ แต่เด็ดขาดราวกับว่าฉันเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขา เขาต้องการคำตอบตามความเป็นจริงว่า ฉันจะมาอยู่เมืองไทย กับเขาได้ไหม?
เขาต้องการคำตอบตามความเป็นจริงว่า ฉันจะมาอยู่เมืองไทย กับเขาได้ไหม?- ฉันไม่เคยคาดคิดว่า เขาจะถามฉันด้วยคำถามระดับปัญหาโลกแตก เพราะว่า ฉันไม่มีคำตอบที่สร้างความ ชื่นใจ หรือพอใจให้เขา ก็ ฉันเองยังไม่รู้ว่าฉันตอ้งการอะไร? มีโครงการณ์อะไรในชีวิตอีกแปดปี? และ ที่เขาต้องการรู้ ฉันก็ยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ ฉันนิ่งอึ้งไปนาน เกิดความกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ฉันเกรงว่า เมื่อฉันบอกเขาว่า ฉันไม่สามารถมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาได้ แล้วเขาจะไม่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก ถ้าฉัน จะบอก เขาว่า– ฉันยังรักเขาเสมอ และอีกแปดปี ฉันก็จะมา อยู่กับเขา— มันก็จะเป็นการโกหก และ ทำร้ายจิตใจคนที่รักฉัน อีกทั้งเขาคนนี้ ที่อยู่เบื้องหน้าฉัน เขาเป็นคนสุดท้าย ที่ฉันจะกล้าทำให้เสียใจ แต่ ฉันต้องตอบคำถามที่เขาตั้งขึ้น ด้วยการตั้งคำถามกลับคืนไป
“พี่จะให้เอี้ยงกลับมาได้ยังไง แล้วเราจะอยู่กันได้หรือ? ไม่เคยรู้จักกันดีเลย อีกอย่าง เอี้ยงไม่ใช่ตัวคนเดียว ยังมีภาระทางบ้านก็มาก เอี้ยงจะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้หรอกจ้ะ” ฉันตอบและอธิบายถึงความเป็นจริงให้เขาเข้าใจ แต่เขากลับตอบแบบง่ายๆ ว่า “เราก็อยู่กันตามประสาคนแก่คนเฒ่า ใครๆก็รู้ว่าเรารักกัน เราก็อยู่กันอย่างคนรักกัน พี่ก็มีบ้าน มีสวน เราก็พากัน เดินทางไปเที่ยว พี่ชอบไปเที่ยวพักผ่อน เหนื่อยเราก็กลับบ้าน ทุกอย่างฟังดูจะง่ายสำหรับเขาเหลือเกิน แต่มันไม่ง่ายสำหรับฉันเลย แล้วเขาเปลี่ยนเรื่อง พยายามไม่เอ่ยถึง เรื่องแปดปีนั้นอีก
จนกระทั่งตะวันพลบค่ำ เขาก็โทรฯเรียกคนรถมารับไปส่งที่บ้านฉัน ฉันเริ่มกังวล เพราะเขาคงมีอาการเมา จาก เบียร์ที่ดื่มมาทั้งวัน เมื่อมาคุยกันที่ในซุ้ม หลังคาใบจาก หน้าบ้าน ฉันก็เอาเทียนมาจุด และ ชาวบ้าน ที่มาซื้อของยามเย็น ผ่านเข้ามาก็มองเขา และฉันด้วยใบหน้าที่ฉงนไปด้วยคำถาม ฉันเอง รู้ว่าจะตอบคำถามของคนเหล่านี้อย่างไร? ฉันจะตอบเมื่อ มีคนสนใจ และอยากรู้ กล้ามาถาม ฉันจะ บอกเขาว่า” นี่คือแฟนเก่า คนที่ฉันเคยรัก และฉันไม่กลัวที่เอ่ยความเป็นจริง เพราะไม่ชอบการ ปั้นน้ำเป็นตัว ไม่ชอบ การหาเรื่องราวมาเสริมต่อ และ คิดว่าเรื่องราวคงจะยาวยืด ถ้าฉันพยายามตกแต่ง ปกปิดความจริง ฉันไม่มีเวลา ต่อความยาวสาวความยืด และ อีกอย่าง เรื่องส่วนตัวของฉัน มันไม่ได้ไปสร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ใคร และฉันเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ดีที่สุดว่า ตัวฉันคือใคร? กำลังทำอะไร? ฉันคิดว่า ฉันรับผิดชอบตัวเองได้
เท่าที่ผ่านมา พ่อแม่ของฉันไม่เคย ต้องบงการ หรือ ชี้ทางชีวิตให้ฉันมาก ฉันเลือกวิถีทางเดิน ของฉันเอง ถ้าพลาด ฉันก็จะมี เพียงตนเอง ที่จะต้องตำหนิ ไม่มีผู้อื่น ที่ฉันตอ้งมาโทษว่าเป็นต้นเหตุ มันเป็น ความรู้สึก ที่ฉันคิดว่าถูกตอ้ง และ ยุติธรรมที่สุด เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ระหว่างฉัน กับ เขา เป็นเรื่องของความรักที่ไม่สมหวัง ไม่มีใครผิดหรือถูก แต่ฉันเอง ก็เป็น ผู้ที่มีชีวิตอยู่ ภายใต้ความทุกข์ทรมาน ด้วยความรักและคิดถึงเขาเสมอ เขาเองก็อาจจะเป็นเช่น เดียวกับฉัน แต่ ใครหละ คือผู้ร้าย ที่ฉันจะชี้ให้รับกรรม หรือว่า ฉันจโทษชะตากรรม ซึ่งก็คงจะมีส่วน แต่ฉันก็เคยมีสิทธิ์เลือก ที่จะ กลับมาหาเขา ถึงแม้ว่า ฉันจะพัดพรากจากบ้านเกิด เพียงแต่ว่า ฉันยอมเลือกที่จะยอมสละทิ้งความรัก ความสุข กับ คนที่ฉันรักออกไปจากชีวิต ฉันเลือกเอาทางเดินที่สะดวกสบาย ค่านิยมทางวัตถุ ที่ช่วยสร้าง ความสมบูรณ์ให้ชีวิต ถึงแม้ว่ามันเป็นการเลือกสิ่งทดแทนที่ตรงข้ามกับความปราถนา แต่ทุกอย่างคงเกิดจากความ กลัวของฉัน ที่มาเกาะ ในก้นบึ้งหัวใจ และที่ฉันปลูกฝังเองในระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะว่า ฉันกลัว ไม่มีความอดทน เพียงพอ ที่จะก้าวเข้าไป เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา หรือ ปล่อยให้เขาเข้ามาร่วมเส้นทางชีวิต เพราะฉันเกรงว่า ตนเอง จะไม่สามารถ เผชิญหน้ากับ ความผิดหวัง เสียใจ เมื่อเห็นจากตัวอย่างชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว หลายๆครั้ง ในสังคม บ้านเกิด อันเป็นที่รักของฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะว่า ผลลัพธ์ ที่ฉันได้มา เห็นชัดเจนในวันนี้ก็คือ ความเจ็บปวด ฉันเดินทาง ข้ามขอบฟ้า -มหาสมุทร เพียงเพราะว่า ฉันอยากพบเขา แต่เมื่อฉันพบเขาวันนี้ ฉันกลับเกรงกลัวเขา ฉันกลัวเพราะว่า ฉันไม่รู้จักนิสัยใจคอ ไม่เคยเรียนรู้ความรู้สึกของเขา และ ฉันไม่รู้ว่า คำพูดจากปากของเขา มีความ จริงเพียงใด? สำหรับฉัน เขาเป็นชายลึกลับ ถึงแม้ว่า ฉันจะคบหาเขามาเป็นเวลาสิบๆปี แต่ก็เหมือนไม่รู้จักกัน เขาบอกว่าเมาแล้ว ต้องขอตัวไปนอน ทั้งๆที่เวลาเพิ่งหนึ่งทุ่มกว่า ฉันก็เรียกเขาขึ้นไปข้างบนบ้าน ในขณะที่คน อื่นๆ อยู่นอกบ้านมืดๆ ฉันไม่เคยเกรงว่าเขาจะเป็นคนฉวยโอกาส จากประสพการณ์ ที่ผ่านมา ที่ฉันเคยรู้จักเขา ฉันคิดว่า เขาเป็นคนที่ไม่เรียกร้องอะไรมาก แต่คืนนี้ ฉันมองคนผิด เมื่อฉันทำตัวเป็นกันเอง และ แสดงความ ไว้วางใจเขา จัดที่นอนเพื่อให้เขานอนพัก โดยที่เขามองฉันใกล้ๆ เมื่อฉันจัดที่นอนเรียบรอ้ย ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะออกไปจากห้อง เขาก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับกอดรัดฉันด้วยอ้อม แขนอันแข็งแรง ผิดกับคนที่เมา เพลียง่วงนอนธรรมดา ฉันตกใจ และตั้งตัวไม่ทัน สิ่งแรกที่ฉันรู้สึกก ก็คือรสจูบ อันร้อนแรงดุดัน และริมฝีปากของเขาที่จูบประทับ บดขยี้ ปิดริมฝีปากของฉัน สร้างความอบอุ่น และ มันกระตุ้น เม็ดเลือดในตัว ให้สูบฉีดแรงขึ้นมาฉับพลัน จนฉันรู้สึกอุ่นไปทั้งร่าง มือขวาของเขากอดลำตัวฉันแน่น มือข้างซ้าย ก็ประคองกอดฉัน พร้อมกับกดดึงฉันเข้าหาตัว แต่ริมฝีปากเขาก็ยังประกบที่ปากฉัน โดยไม่ปล่อย
ในวินาทีที่ฉันรู้สึกตัว ตื่นจากภวังค์ กว่าจะตั้งสติได้ ก็พยายามดิ้นรน และบ่ายเบี่ยงออกจากอ้อมแขนอันแข็งแรงของเขา เขาถอนริมฝีปากออกจากฉัน หลังจากที่ฉันพยายามตบหน้าเขา ด้วยมือสองข้างที่ยังว่าง เขาก็เปลี่ยนจุดจู่โจม ย้ายใบหน้า และ จมูก ไปซุกที่ข้างคอ และ ใบหูของฉัน และ จูบไซ้ ที่จุดนั้นอย่างรอ้นแรง จนฉันรู้สึกถึง ลมหายใจ อันร้อนระอุของเขา ที่พ่นแรง เปรียบดังไฟรักในตัวเขา ที่ประทุขึ้นมา โดยที่เขาไม่เกรงกลัวว่าฉันจะต่อสู้ หรือ ทำให้เขาผิดหวัง แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เพราะว่าฉันต่อสู้ขัดขืนต่อการจู่โจมของเขา ด้วยแรงตบที่ใบหน้าอย่าง นับไม่ถ้วน และเรียกชื่อเขาเพื่อต้องการเตือนสติเขา
“เนี่ยๆ พี่หลองไม่เอาน่ะ ปล่อยเอี้ยงน่ะ เนี่ยๆ อย่าทำอย่างนี้กะเอี้ยงสิ” พยายามเสียนาน แต่เขายังไม่ยอมฟัง ฉันก็พยายามผลักตัวเองออกจาก อ้อมกอดอันแข็งแรง ที่กอดรัดฉันเช่น งูที่กำลังรัดเหยื่อ จนในที่สุดฉันก็เป็นอิสระ เขาคงยอมรับว่า มันไม่มีประโยชน์ ถ้าฉัน ไม่พร้อมใจ และ การตบมือ ข้างเดียวมันก็คงไม่ดังหรอก
ฉันทิ้งตัวลงที่โซฟาตัวใกล้ๆ ที่ในห้องนอน และลูบคลำริมฝีปาก ด้วยความรู้สึกเจ็บระบม และบวมขึ้นทันที ราวกับว่า ฉัน ไปชกมวยนัดรุนแรงมา อีกทั้งแก้มสองข้าง ก็มีอาการระคายเคือง ราวกับฉันนอนเคล้าเคลียกับ คู่รักที่มีหนวดคราเต็มหน้ามาทั้งคืน เขาอยู่บนพื้นกระเบื้องในห้อง เอื้อมมือสองข้างมาจับมือเล็กๆของฉันไว้ และ จูบเบาๆ พร้อม กับเอ่ยขอโทษ
“พี่ขอโทษที่ทำให้เอี้ยงตกใจ แต่พี่อยากให้เธอรู้ว่า- พี่ทำไปก็พี่ยังรัก คิดถึงเอี้ยงมาตลอดพี่อุตส่าห์ ตั้งหน้าตั้งตา รอวันเอี้ยงกลับมาหาพี่ แต่เอี้ยงก็ไม่กลับเสียที” ฉันไม่อยากจะเชื่อคำพูดของเขานัก แต่ก็ไม่อยากดึงมือออกจาก ฝ่ามือของเขาที่จับกุมฉันไว้ ฉันรู้สึกถึงฝ่ามือที่ แข็งกร้านของเขา เกิดความสงสารฝ่ามือนั้นขึ้นมาอีก เห็นใจที่เขาคงต้องทำงาน จับอาวุธ ทำหน้าที่มาเกือบทั้งชีวิต ฉันคิดว่า ถ้าวันนี้ วินาทีนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบหกปีที่แล้ว ฉันก็ไม่ แน่ใจว่า ฉันจะฝืนความต้องการของตนเองได้ ถ้าเพียง –ฉันสามารถหมุนเวลาให้กลับคืนได้ ฉันคงจะยึดความรักที่มีต่อเขา มากำหนดชะตา ไม่ใช่ความสำนึกรับผิดชอบชั่วดี หรือ ศีลธรรมอันดีงามประจำใจที่ฉันถูกอบรมมา
หลังจากนั้นฉันก็ออกจากห้อง ปล่อยให้เขานอนพัก แต่ฉันตาค้างทั้งคืน เพราะว่า ไม่กล้าไป นอนข้างบนที่หน้า ห้องนอน เกรงเขาจะลุกขึ้นมาปล้ำลางดึก และ เกรงเขาจะกลับไปแต่เช้าตรู่ วันรุ่งขี้นโดยไม่ร่ำลา
ฉันเพ่งพิศเปลวเทียนที่จุดให้ความสว่าง เพื่ออ่านหนังสือ ฉันพยายามอ่านหนังสือหลายเล่ม แต่ก็อ่าน ไม่รู้เรื่อง ฉันไม่รู้ว่า ฉันดื่มกาแฟหมดไปกี่ถ้วยเพื่อบังคับประสาทให้ตื่นตลอด มองแต่เข็มนาฬิกาที่เดินไปโดยไม่หยุดยั้ง ฉันอยากให้มันหยุดเดิน ฉันไม่อยากให้คืนนี้มันหมดไป เพราะว่า ฉันมีเขาอยูใกล้ๆ ฉันรู้ว่าเขาไม่หนี ฉันไปไกลอีก บ่อยครั้งที่ฉันยื่นนิ้วไปจ่อที่เปลวเทียน เพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้ฝันไป เขามาหาฉันจริงๆ
อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาต้องตื่นขึ้นมา เพราะว่าเขาต้องเดินทางออกจากที่นี่ราวตีสี่ ตามเวลาที่นัดคนขับรถไว้ แต่ฉัน ก็หวังว่าเขา จะตื่นขึ้นมาก่อน ฉันอยากถามเขาว่า เขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำ และรสจูบ นั้นได้ไหม? มันมีความหมาย ต่อเขา เหมือนอย่างที่ฉันรู้สึกและ อยากจะจดจำไว้หรือเปล่า? และชายชาตินักรบ อย่างเขาจูบ ฉันด้วยความรัก อารมณ์ของ ตัณหา หรือฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ? ฉันเตรียม ใจไว้เสมอว่า จะได้รับคำตอบ ที่ฉันไม่ อยากได้ยิน แต่ ถ้าเป็นความจริง ฉันก็ต้องยอมรับ
เมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา ๒.๓๐ น ฉันก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตู เขาตื่นแล้วเดินลงมาหาฉัน ในห้องครัว เขาถามฉันว่า ฉันไม่นอนหรือ? ฉันก็เอ่ยกับเขา เพราะว่าอยากรู้ว่าเขาจะแก้ตัว หรือ ยอมรับผิด “ก็กลัวพี่ลุกมาปล้ำอีกน่ะสิ ขนาดในบ้านเอี้ยงเอง ยังเกือบถูกข่มขืน เอี้ยงเคยคิดว่าอยู่กับพี่นี่ปลอดภัย ที่สุด พี่เคยเป็นผู้ชายที่น่าไว้วางใจที่สุด ที่เอี้ยงเคยรู้จักมา แต่พี่ก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ทีหลังอย่าทำ”
เขากอดอก หลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในครัว และแก้ตัวว่า เขาเมามาก จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยิน คำต่อว่าที่ฉันว่าเขาเป็นต้นเหตุให้ฉันปากเจ่อ อับอายขายหน้าทุกคนในบ้าน เขาก็บอกให้ฉันช่วยทบทวนความจำ ให้ฉัน สาธิตด้วยการจูบเขา ฉันเลยยกเทศน์กัณฑ์ใหญ่มาสั่งสอนให้เขารู้จักฉันดีกว่านี้ ฉันไม่ปฏิเสธว่า ฉันรัก เขามาก แต่ เมื่อเลือกทางเดินแล้ว ก็คงไม่ปฏิบัติตนให้คนดูถูกหรอก รวมทั้งเขาด้วย “เราสองคนเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นแล้วน่ะพี่ ทำอะไรต้องคิดก่อน เราต้องรับผิดชอบการกระทำของเราได้ เรื่องอย่างนี้ เอี้ยงไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก ไม่ชอบเวลาพี่ที่มีแอลกอฮอล์ อยู่ในเลือด มันไม่มีความหมาย อะไร มากน่ะสิ ถ้าพี่จดจำอะไรไม่ได้ วันใดเอี้ยงปล่อยตัวปล่อยใจ ไหนๆ ตามอารมณ์ กะพี่ เขาไม่เอ่ยอะไรมาก นอกจากบอกว่า — ก็ใครๆก็รู้ว่าเรารักกัน– ”
แล้วก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำ ทั้งที่อากาศเย็นจัด พอออก มาจากห้องน้ำ ฉันรู้สึกหนาว เขาเรียกให้ฉันเข้าไปใกล้ๆ โอบกอด เพื่อคลายหนาว และอยากฉันให้สาธิตว่าเขาทำอย่างไรกับฉัน แต่ฉันก็ปฏิเสธ ยืนยันเสียงแข็ง เพราะเกรงว่า เหตุการณ์ จะเกินเลยไปมากกว่านี้ ฉันคงจะเป็นผู้หญิงคนเดียว ที่ปฏิเสธเขา และยืนยันอย่างกระต่ายขาเดียวว่า ฉันจะไม่สร้าง ความผิดให้แก่ตนเอง แต่ก็รู้สึกว่า ฉันทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความเรียกรอ้งของหัวใจฉันมาตลอด เพราะอะไรหรือ? คืนนี้ ฉันพอหาคำตอบได้.
ประการแรก ฉันละอายแก่ใจตนเอง และ น้องๆ ที่นับถือฉันเป็นตัวอย่างที่ดี ฉันจะไม่ทำตัวไม่ดี เป็นผู้หญิงที่ นอกใจสามีในทางปฏิบัติ ประการที่สอง ฉันกลัวว่าเขาจะไม่ปลอดภัย เพราะว่า ฉันไม่รู้จักเขาเลย เพียงมาพบ กันหลัง จาก สิบห้าปี แล้ว อยู่ๆ ฉันก็จะกระโดดขึ้นร่วมเตียงกับเขา มันขัดความรู้สึกสิ้นดี ประการที่สาม ฉันรู้ดีว่า อะไรจะรอฉันอยู่ ฉันจะเป็นผู้ทำร้ายจิตใจ ผู้ชายที่รักและ ดีต่อฉัน คนที่ยืนเคียงข้างฉัน ยามทุกข์ สุข มาตลอดเวลา เกือบสิบปี เพียงเพราะว่า ฉันกลับมาพบเขา ผู้ชาย ที่เป็นเสมือนขนมหวาน ที่ฉัน แอบเก็บไว้ตู้มืด แห่งหัวใจ เมื่อวันเวลาผ่านไป ล้วงมือไปคลำพบโดยบังเอิญ ฉันเอง เกิดความลำพองใจ คิดว่า ในที่สุดฉัน ก็มีขนมหวาน อยู่ในมือ แต่ อาจจะมองไม่เห็นว่า ขนมชิ้นนั้น มีอยู่ที่นั่นเสียนาน มันอาจ จะมีเห็ดรา ขึ้นมาทำลาย รสชาติของมัน และ อาจจะทำเหตุให้ฉันปว่ย หรือ ทำลายท้องไส้ ของฉันอีกก็ได้
ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเป็นเสมือนขนม ที่เป็นพิษ เมื่อวันเวลาผ่านไป ฉันก็อดไม่ได้ ที่เข้าข้างตัวเอง และ ออกตัว ปกป้อง เขา ในบางความคิด เมื่อจิตสำนึกสองฝ่าย ถกเถียงกัน คืนนี้ฉันอยากจะขอโทษเขา และ ลูบไล้ ที่แก้มเขาเบาๆ ตาม รอยที่ถูกฉันตบแรงๆ นับไม่ถ้วน อยากให้เขารู้ว่า ใจจริงแล้วฉันไม่เคยอยากให้เขาเจ็บ ไม่ต้องการให้เขาเลิกจูบ หรือ ถอนริมฝีปากที่จูบฉันอย่างดูดดื่มออก ฉันอยากให้เขาแสดงความรักต่อฉัน อยากรู้ว่า เขารักฉันมากเพียงใด? มากเท่า ที่ฉันรักเขาหรือไม่? ฉันอยากให้เขารับรู้ความในใจของฉัน ที่รอคอยเขามาสิบหกปี นับตั้งแต่วันที่เขาเหยียบย่างไป ที่บ้านฉันกับพ่อและแม่ เมื่อคืนนั้น และแล้ววินาที ที่ฉันเกรงกลัวก็มาถึง เมื่อเขายืนอยู่นอกประตูบ้าน จ้องมองฉันด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์
“เอี้ยง พี่จะกลับแล้ว ฉันไม่ มีคำพูดใดๆ ที่จะเอ่ย นอกจากน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นดวงตาสองข้าง ฉันโผกอดรัดเขา ซบหน้าที่อาบด้วยน้ำตา กับบ่าของเขา ฉันอยากให้รู้ว่า ฉันไม่อยากให้เขาจากฉันไป ฉันสะอึกสะอื้นอยู่นาน เขาก็คงจะคาดไม่ถึงว่า ฉันจะกล้าโผเข้ากอด เขาก่อน ทั้งๆที่ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมฉันเสียนาน เขายืนทื่อ แต่ก็ยกมือสองข้าง โอบกอดฉัน และ เอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงสำเนียง เหน่อๆทุ้มๆ
“อะไรนี่เอี้ยง ร้องไห้ทำไมกัน ฉันไม่มีคำตอบให้เขา แต่เขาไม่ใส่ใจ กลับเดินโอบกอด พาฉันเดินออกไปยังรถ ที่คนขับรออยู่ พอเขาหยุด ยืนสักครู่ ฉันก็พยายามซับน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองเขาบอกให้เขาดูแลรักษาตัวดีๆ เพื่อจะได้มาพบฉันอีก เขาก็เอ่ยถามฉันว่า “ไป๊ ไปอยู่กับเขาพี่ ที่เขมรไหม?”
ฉันคิดว่าเป็นจิตวิทยาเพื่อปลอบโยนฉัน ไม่ให้เสียอกเสียใจมาก กับการไปของเขา ก่อนที่เขาจะหันไปขึ้นรถ ก็เอี้ยวตัวหันมาจูบซอกคอฉันอย่างรวดเร็วเพื่อ เป็นการอำลา แล้วก็รีบก้าวไปในรถที่ติดเครื่องรอแล้ว แล้วเขาก็ หายไปในรถคันนั้น ในยามเช้าตรู่อันเย็นยะเยือก ฉันยืนมองตามจนสุดสายตา แต่ก็ไม่สามารถ เรียกให้เขา กลับมาหา ฉันได้ เขาจากไปในความมืด ที่มีเพียงแสงดาว ส่องทั่วฟ้า ฉันไม่รู้ว่า เมื่อไหร่เราสองคนจะได้พบกันอีก? เมื่อไหร่ เขา จะมีโอกาส มาประทับรอยจูบนั้นอีก? เขาคงไม่เคยมีผู้หญิงคนใดที่ร้องไห้ ยามเมื่อเขาอำลาไปปฏิบัติหน้าที่
ทุกครั้งเมื่อฉันยืนมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ในใจก็ภาวนาขอให้ดวงดาวช่วยเป็นหูเป็นตา ฉันเพียง อยากให้เขารู้ว่า ดวงดาวบนท้องฟ้า เสมือนดวงตาของฉัน ที่เฝ้ามองเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเขา หรือ ฉันจะอยู่ ณ จุดใดของโลก เราก็ยังอยู่ใต้ท้องฟ้าเดียวกัน ถึงจะห่างกันเพียงใด ถึงแม้ วัน เวลา ที่แตกต่างกัน ฉันก็ยังส่งใจ มาดูแลเขา ฝากมากับดวงดาวบนท้องนภา และ ฉันขอวอนเวลา ให้ช่วยแก้ปัญหา นำคำตอบที่ฉันรอคอยมาให้ เพื่อความกระจ่างในคำถามของชีวิต สายใย -ความสัมพันธ์ ระหว่าง ฉัน และ เขาคนนั้น