เส้นทาง 14 ปี คดี "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ทุจริตยักยอกเงินค่าโฆษณารายการช่อง 9 ร่วมกับ พนักงานจัดคิวโฆษณา ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์สั่งจำคุก 13 ปี 4 เดือน ชี้ชะตาชั้นฎีกา เมื่อ วันที่ 21 ม.ค.2563 โดย ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรเล่าข่าวและผู้จัดรายการชื่อดัง ร่วมกับพนักงานบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) ยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลารายการคุยคุ้ยข่าว ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี ตั้งแต่ปี 2548-2549 จำนวน 138.79 ล้านบาท จำคุก 6 ปี 24 เดือน
* ประวัติของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา
ตอนที่ 1. จำคุก 2 พนักงาน อสมท. ขายโฆษณาเกินเวลา
เริ่มที่ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2559 จำคุก นางพิชชาภา หรือ ชนาภา เอี่ยมสะอาด หรือบุญโต เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 สำนักกลยุทธ์การตลาด อสมท. กระทงละ 5 ปี รวม 30 ปี โดยศาลเห็นว่า นางพิชชาภา ซึ่งมีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา ไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเหตุให้ อสมท. ได้รับความเสียหาย การใช้น้ำยาลบคำผิดลบคิวโฆษณาแสดงถึงการปกปิดข้อเท็จจริง และการรับเช็คเป็นการกระทำต้องห้าม ปรับบริษัท ไร่ส้ม กระทงละ 2 หมื่นบาท รวม 1.2 แสนบาท โดยศาลเห็นว่าแม้จะมีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด แต่บริษัทไร่ส้มได้ชำระค่าโฆษณาส่วนเกิน 138.79 ล้านบาทแก่ อสมท. แล้ว จึงลงโทษสถานเบา
ตอนที่ 2 จำคุก "สรยุทธ" คนจ่ายเช็คให้ พนักงาน อสมท.
จำคุกนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงาน บ.ไร่ส้มฯ ซึ่งเป็นผู้นำเช็คไปมอบให้นางพิชชาภา กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 20 ปี โดยศาลเห็นว่านายสรยุทธน่าจะทราบเนื้อหางานเป็นอย่างดี การใช้เงินแม้จะให้โดยเสน่หา แต่ไม่รายงานให้ทราบก็เป็นการสนับสนุน การจ่ายเช็คให้นางพิชชาภาเพื่อจูงใจ ทำให้หน่วยงานของรัฐได้รับความเสียหาย แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก นางพิชชาภา 20 ปี จำคุก นายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา คนละ 13 ปี 4 เดือน และปรับบริษัทไร่ส้ม 8 หมื่นบาท โดยจำเลยทั้งหมดได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี
ตอนที่ 3 "สรยุทธ" ได้ประกันตัว - ยังจัดรายการโทรทัศน์ จนถูกสปอนเซอร์กดดัน
หลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด และศาลชั้นต้นพิพากษา นายสรยุทธ ยังคงจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้ และรายการเจาะข่าวเด่นทางไทยทีวีสีช่อง 3 ตามปกติ และเลือกที่จะลาออกจากองค์กรวิชาชีพสื่อ แต่เมื่อกระแสสังคมกดดันถึงขั้นบริษัทห้างร้านจะถอนโฆษณา ทำให้ นายสรยุทธ ตัดสินใจยุติปฏิบัติหน้าที่เมื่อ 3 มี.ค. 2559 เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
ตอนที่ 4. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี 29 ส.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น โดยศาลระบุว่า นางพิชชาภา ต้องสำนึกในหน้าที่จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของรัฐ จะอ้างว่ามีช่องว่างทางการตรวจสอบไม่ได้ ที่อ้างว่าใช้น้ำยาลบคำผิดลบคิวโฆษณา เพราะตกใจกลัวจะต้องรับผิด เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนัก
ส่วนที่บริษัทไร่ส้ม และ นายสรยุทธ อ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลบคิวโฆษณา ศาลเห็นว่าเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือ เพราะ นางพิชชาภา ยอมรับไปแล้วว่าได้รับการร้องขอจาก นายสรยุทธ ส่วนคุณงามความดีที่ นายสรยุทธ กล่าวอ้างนั้นเป็นเรื่องของประวัติและความดี คนละส่วนกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด
โดย นายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา ได้ประกันตัวระหว่างฎีกาสู้คดี ตีราคาประกันคนละ 5 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลและให้จำเลยต้องมารายงานตัวต่อศาลทุก 3 เดือน เช่นเดียวกับ นางพิชชาภา ได้ประกันตัวไป 5 ล้านบาทเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนั้นยังมีคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสาร เมื่อปี 2559 แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับคดีนี้ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ตอนที่ 5. พิพากษาจำคุก "สรยุทธ" 6 ปี 24 เดือน
จนมาถึงวันที่ 21 ม.ค. 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุก นายสรยุทธ 6 ปี 24 เดือน และได้การลดโทษตามสัดส่วน โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ส.ค. นายสรยุทธได้รับการลดโทษมาแล้ว
ตอนสุดท้าย "สรยุทธ" ได้รับอิสรภาพแล้ว
ล่าสุดวันที่ 14 มี.ค.64 นายสรยุทธ ได้รับอิสรภาพจากเรือนจำ หลังจำคุกมาแล้ว 1 ปี 2 เดือน 6 วัน เนื่องจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ และได้พักโทษตามเงื่อนไข แต่ต้องติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (อีเอ็ม) ตามกระบวนการคุมประพฤติ จนกว่าจะครบกำหนดโทษ เป็นระยะเวลา 2 ปี 4 เดือน คือวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่พ้นโทษ และต้องรายงานตัวกับกรมคุมประพฤติตามที่กำหนดด้วย