นาง : พ่าย (๒๔ / ๑๐๒๕๔๓)

เรื่องสั้น

//…ห้วงคิดคำนึง…//

ดวงตะวันกลมโตสีส้ม ค่อยๆคล้อยต่ำลงระยอดไม้ใบหนาทึบอีกฟากของแม่น้ำ ฟากฝั่งทางด้านโน้น มองดูเป็นพุ่มพฤกษ์ ต้นไม้ สลับ ซับซ้อนหนาทึบ มองไม่เห็นเรือนชานบ้านช่อง ที่พอจะให้รู้ว่ามี เหย้าเรือนผู้คน อยู่อาศัย ก็เห็นจะเป็น ควันไฟสีเทาที่หุงหาข้าวปลาอาหาร ลอยพ้นยอดไม้ให้เห็น หากเย็นย่ำอีกสักหน่อย ก็จะได้เห็น คนหาปลา กับ เรือลำน้อย ของผู้คนบ้านเรือนฟากโน้น วางเบ็ด ลงข่าย ดักปลา สายน้ำไหลเอื่อยเรื่อยขึ้นไปทางเหนือ พัดพาเอา ผักตบชวา หญ้าน้ำ ลอยเป็นกลุ่มๆไปด้วย

…ชั่วเพียงประเดี๋ยวหนึ่ง ตะวันก็ชิงพลบหลบหายไปหลังแมกไม้ พอตะวันลับฟ้า ต้นไม้ใบหนาเขียวครึ้ม ก็กลายเป็นทึบทึมมืดมิด เห็นแสงจันทร์ แสงดาว ค่อยๆพราว ระยิบระยิบ กระจายฉายฉานอยู่ทั่วแผ่นฟ้า เห็นจันทร์แหว่งเว้าเสียจนเกือบหมดดวง ท้องฟ้าดาราพราวพราย ท้องน้ำก็พลอยระยับประกายพลิ้วไหว ไปกับคลื่นลม สะท้อนแสงดาวเดือน

ลมโชยแผ่วกลิ่นดอกไม้บางเบา ผสม ปนเป กับกลิ่นควันจากฟืนสุมไฟ ไออุ่นจากดิน แผ่ผ่านพรมผืนหญ้า คืนกลับสู่อากาศรอบๆ หลังจากที่ต้องเก็บกัก ระอุ มาทั้งวัน เมื่อคลายร้อนออกไปสิ้น พื้นดินก็จะเย็นลงเรื่อยๆ เพียงเพื่อจะรองรับน้ำค้างที่จะพร่างพรม กับไอหมอกยามอรุณรุ่ง

<< วัน และ คืน ล้วนหมุนเปลี่ยนเวียนไปนับนาน>>

//…๑…//

นาง…นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกริมระเบียงอาคารพักอาศัยระดับกลางของเมืองหลวง ระเบียงห้องของนางหันหน้าเข้าหา แม่น้ำเจ้าพระยา นาง..

เฝ้าดู ดวงตะวันกลมโตสีส้ม ค่อยๆคล้อยลับหายไป ในความหนาทึบของต้นไม้อีกฟากฝั่งของสายน้ำ เมื่อตะวันรอนซ่อนลับ…หายไป แสงไฟเป็นดวงก็ปรากฏกระจัดกระจายทั้งสองฟากฝั่ง และกลางสายน้ำ ค่ำคืนนี้ นาง…ไม่เห็นว่าเป็น จันทร์ข้างขึ้น หรือเดือนแรม แสงไฟสว่างเป็นเส้นยาวอยู่บนถนนที่กั้นกลางระหว่างห้องของ นาง กับ พื้นดินครึ้มไม้ผืนใหญ่ริมแม่น้ำสายหลักของเมืองหลวง…

จำได้ว่า นาง กับ สามี มาอาศัยทำงานอยู่โรงงานใกล้ๆแถบนี้ เมื่อเกือบ ๓๐ปีก่อน สองคนจากบ้านมาเพื่อสร้างความฝัน นาง สู้เก็บหอมรอมริบ ด้วยหวังจะมีบ้านเล็กๆสักหลัง ความฝันของ นาง เป็นได้แค่ห้องพักของโครงการ แห่งนี้ บ้านหลังน้อยดูจะไกลเกินฝัน ของนาง กับสามี…จนลิบลับ…

ถึงอย่างไร ห้องพัก บนชั้น ๔ ของอาคาร ก็เป็นรังรักอันอบอุ่น ที่ให้กำเนิด บุตรชายหน้ารัก แก่ครอบครัว ของ นาง ความลำบากยากแค้นทั้งหมดที่เคยมี ก็ดูเหมือนจะไม่ยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว สองคนช่วยกันขยันขันแข็ง รู้เก็บ รู้ใช้ จนเลี้ยงลูกชาย เติบโต มาพร้อมการศึกษาที่ดี ระดับหนึ่ง แล้วพี่ทิด ก็มาตายจากไป ตั้งแต่ เจ้าแดง ยังบวชไม่ทันครบพรรษา ก็ยังดีอยู่หรอกนะ ที่พี่ทิดยังได้บวชลูกชายคนเดียวของเรา ได้เกาะชายผ้าเหลืองเข้าสู่สัมปรายภพ นาง ยังจำได้ถึงวันที่เขาสิ้นใจ พี่ทิดหลับตาพริ้ม ริมฝีปากเหมือนปรากฏรอยยิ้มบางๆ เขาคงหมดห่วงหมดกังวล ได้บวชลูกชายคนเดียวแล้ว เงินทองที่เก็บสะสมไว้ ก็คงไม่ทำให้คนข้างหลังลำบากลำบนอีกทั้งเจ้าแดงสึกพระมาก็มีงานทำรออยู่แล้ว หากแต่พี่ทิดคงไม่รู้ ว่า จากวันนั้นมา เจียนจะ ๑๐ปี เข้านี่แล้ว นาง ยังคง เฝ้ามอง ตะวันดวงเดิม ลับทิวไม้อยู่เพียงลำพัง ดวงตะวันที่พี่ทิด เคยบอกหลายครั้งหลายคราว่ารักว่าชอบหนักหนา….

“…นาง…ดูซิ ตะวันกลมโตลับทิวไม้ไปแล้วทางฝั่งโน้น จำได้มั้ย เหมือนบ้านเราเลยนะ พี่เห็นน้ำเห็นท่าแล้ว อยากลงไปดำผุดดำว่าย ดักข่าย หาปลา มาต้ม มายำ กิน เสียให้หนำใจ…”

นางเคยหัวเราะ หัวใคร่ อยู่กับเขา ที่ระเบียงห้องตรงนี้ กระทั้งเจ้าแดง มันโต นางยังบอกยังเล่า ถึงเรืองราวของต้นไม้ สายน้ำบ้านเรา ให้แดงมันฟัง มันยังหัวเราะเริงร่า ถามโน่น ถามนี่ ไม่จบไม่สิ้น….

//…๒…//

“…แม่…เย็นๆแม่คอยดูแดงนะ แดงจะโบกมือให้แม่…”

แดง มันพูดไป ก็เคี้ยวข้าวในปากไปตุ้ยๆ
“…พี่แดง…เคี้ยวข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด…”

อ้อม เมียมันตีเบาๆที่แขนเจ้าแดง

แดง มันแต่งงานได้สักปีกว่า แล้วก็พาเมียมาอยู่เสียกับแม่ที่นี่ แดงมันว่าจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร มันยังบอกว่าขอมันทำงานอีกสักปี ๒ปี มันจะ ซื้อบ้านเล็กๆ อย่างที่แม่อยากได้ แล้วเราจะได้ไปอยู่ด้วยกัน เจ้าแดง มันจะมี หลานให้ นางเลี้ยง เท่าที่นางอยากจะได้…

หลายครั้ง…ที่นางได้เห็น เจ้าแดง มันนั่งเหม่อที่ระเบียง มันคงฝันถึงบ้านหลังใหม่ ถึงครอบครัวของมัน ก็คงเหมือนกับ ที่ นาง กับ พี่ทิด เคยคิดเคยฝัน ตามวันวัย หนุ่มสาวนั่นแหละ…

“…เออ…แล้วโครงการที่แดงไปคุมงานอยู่นี่น่ะ มันเป็นอะไรล่ะ ลูก …”

นาง…ถาม ด้วยอยากรู้ ว่าตึกที่ลูกชายมาดูแลก่อสร้าง อยู่ฟากถนนตรงข้ามระเบียงห้องของนางนั้นเป็นอะไร

“…เป็น โฮม-ออฟฟิศ น่ะแม่ ๓ ตึก ตึกละ ๑๙ ชั้น ระดมทุนสร้างน่าดู ว่าจะให้เสร็จใน ๓ปี เห็นว่าเปิดจองไปได้เยอะแล้วด้วย อ้อม ขอข้าวพี่หน่อย แกงส้มแม่อร่อย …”

นางรู้ว่า ลูกชายชอบกินกับข้าวอะไร แล้วเลือกทำให้ ตามแต่ฤดูกาล แดงมันบ่นว่ากินข้าวแกงที่ไหนก็ไม่อร่อย ดูทีรึ…ก็มันกินกับข้าวแม่มันมา ๒๘ / ๒๙ ปี เข้านี่แล้ว

ค่ำนั้น…นาง เข้านอนตามเวลาที่เคยปฏิบัติ นางไม่ได้หลับลงง่ายดายนัก เวลาที่นางนอนมาในชีวิตก็ไม่น้อยแล้ว คิดถึง พี่ทิด เขาได้หลับไหลชั่วนิรันดร ไม่ต้องตื่นมา เฝ้ามอง ตะวันลับทิวไม้เหมือน นาง อีก…

โครงการ โฮม-ออฟฟิศ เติบโตขึ้นทุกวันๆ รถบรรทุกวิ่งเข้าออก ทำงานกันทั้งวันทั้งคืน หลายครั้งที่แดงมันต้องคุมคนงานจนสว่าง แล้วกลับมาเข้านอนเอาตอนตะวันโด่ง นาง พร่ำบอกให้ลูกชาย พักผ่อนดูแล สุขภาพตัวให้มากๆ ลูกสะใภ้ ก็ทำงานล่วงเวลาจนเย็นย่ำ กว่าทั้งสองจะเข้าบ้านก็ค่ำมืด หรือบางที นาง ก็เข้านอนแล้ว แดง มันบอกว่าโครงการเขาเร่ง ตอนนี้เงินล่วงเวลามันมาก ต้องรีบทำ รีบเก็บ หลายวันก่อน แดงมันมานั่งลงข้างๆเก้าอี้โยกของนาง กอดเข่าแม่มันไว้บอกว่า อีกไม่นานแล้วแม่ บ้านหลังเล็กที่แม่ฝันเอาไว้จะเป็นจริง แดงมันบอก ถึงบ้านจะอยู่ไกลจากที่เคยอยู่สักหน่อย ก็ดูสงบร่มเย็นดีหรอกนะแม่ มันไปจองเอาไว้แล้ว พอโครงการที่มันทำอยู่เสร็จ บ้านหลังน้อยที่แม่ฝัน ก็คงเสร็จไปเยอะแล้ว แดงมันบอกจะพาแม่ไปดูให้เห็นกับตา แล้วก็นั่งเกยคางอยู่กับเข่าแม่มัน นางน้ำตาซึมมาคลอเบ้า…แล้วไหลลงอาบแก้ม ลูบหัวลูกชายเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร ….นาง คิดถึง พี่ทิด ของนาง ถ้าเขาอยู่ได้ยินคำพูดของลูกชาย เขาจะต้องดีใจ ยิ้มหน้าบานอย่างกับใบลาน นางคิดของนางอย่างนั้น….

//…๓…//

ตะวันกลมโตสีส้มคล้อยต่ำลงลับทิวไม้ ฟาก แม่น้ำฝั่งโน้น มีอาคารตึกราม บ้านช่อง อยู่เรียงราย ท่าเทียบเรือ ขนส่งผู้คน ทั้งสองฟากแม่น้ำ นาง นั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ หลังถวายผ้าพระกฐิน เสร็จแล้ว บ้านช่องผู้คนดูเปลี่ยนไป ปีนี้ นางแก่ลงมาก ผมหงอกขาวโพลน การกลับมาเยี่ยมบ้านคราวนี้ เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันล้มหายตายจากไปอีก ๒-๓คน ทองมียังบอกว่า …คนรุ่นเรา น่ะ ตอนนี้เห็นจะนับไม่ครบนิ้วมือ นางเองยังหัวเราะกับความร่าเริงของทองมี เพื่อนเก่าชรา ในวันนี้ ที่ครั้งหนึ่งเคยตีโปงเล่นน้ำกันอยู่ตรงข้างตลิ่ง ใกล้ศาลาท่าน้ำ ที่นางนั่งอยู่วันนี้

บัดเดี๋ยวนี้ เรือนชานบ้านช่องสองฝั่งแม่น้ำ ไม่ใช่บ้านนาบ้านนอก แต่กลับกลายเป็น เมืองท่องเที่ยวสำคัญไปเสียแล้ว รถราวิ่งกันขวักไขว่ จะไปจะมาสะดวกสบาย ดังลัดนิ้วมือ ฟากโน้นที่ครั้งหนึ่งผู้คน ไม่อาจข้ามไปมาหาสู่ แต่เดี๋ยวนี้กลับเชื้อเชิญให้ไปเที่ยวชม จับจ่ายซื้อของ พรมแดนของน้ำจิตน้ำใจไม่เคยเหือดแห้งหาย เหมือนเช่นสายน้ำที่ไหลล่องเติมเต็มอยู่ชั่วนาตาปี

ฟ้ามืดแล้ว แต่ศาลาท่าน้ำ และรอบๆบริเวณ กับสว่างไสวเจิดจ้า ด้วยแสงสีเวทีรำวง เฉลิมฉลองงานวัดกันมลังเมลือง บนท้องฟ้ายังพอมีดาวระยิบกระพริบพรายอยู่บ้าง กลางฟ้า ค่ำคืนนั้น นาง ระลึกถึงภาพหลายภาพในเยาวัย เพื่อเติมเต็มฝังแน่นไว้ในหัวใจตน…

//..๔..//

นาง เข้าบ้านมาค่ำมากแล้ว แดงมันไปรับที่ท่ารถ พอมาถึง ลูกสะใภ้ก็จัดกับข้าวกับปลาไว้รอท่า นางกินข้าวได้มากกว่าทุกวัน คงเพราะความเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง นางดูลูกชายกับลูกสะใภ้หัวเราะหยอกเอินกัน หัวใจมันสุขล้นพ้น คิดเอาไว้ในอกว่า หากนางจะเป็นไป ก็คงไม่ต้องห่วงกังวลกับอะไรอีกแล้ว แดงมันมองตาเมียมัน แล้วก็หันมามองแม่ คราวนี้ มันกลืนข้าว กลืนน้ำ จนหมดคำ ถึงได้เริ่มพูด

“…แม่…แดงมีข่าวดีจะบอก…” มันยิ้มของมันอย่างภูมิใจหนักหนา

“…อะไร ล่ะลูก…” นางถามแล้วมองลูกที สะใภ้ที

แดง มันหัวเราะ ยิ้มเก้อๆ

“…อีก สองเดือนนะแม่ บ้านของเราก็จะเสร็จ ซื้อของเข้า ตบแต่งนิดหน่อย เราก็ย้ายไปอยู่ได้แล้วหละ…แม่…”

แดงมันยิ้ม ภูมิใจ กับความฝันของมัน ของแม่ แล้วมองเมียมัน ยิ้มอย่างภาคภูมิ…

“…ดีลูก…ดี…” นางกล้ำข้าว กลืนลงคอ น้ำตามันคลอหน่วยจะล้นออกมาเสียให้ได้ จนพักหนึ่งนางยิ้มให้ลูกทั้งสอง ตื้นตัน

“…แล้วก็…” แดงมันยิ้ม “…อีกเรื่องนึง…แม่…”

แดงมันมองเมีย…ที่หน้าแดง อมยิ้มเฉยอยู่

นางมองลูกแล้วยิ้ม ยิ้มนั้น มันเต็มตื้นหัวใจนัก

“…แม่ จะเป็นย่าแล้วหละ…” แดง มันยิ้มเสียจนแก้มปริ

“…เหรอ…ดีลูก…ดี…” นางดีใจหนักหนา หันมองสะใภ้

“…กี่เดือนแล้วลูก..”

“…หมอบอกได้ สองเดือนแล้วแม่…” อ้อมบอกแม่ผัว

“…ดี ดี ลูกดี…”

นางพูดอยู่อย่างนั้น แล้วพร่ำบอกเรื่อง บำรุงรักษาระวังครรภ์จนลาวงข้าว ยามค่ำคืน

ก่อนนอนคืนนั้น นางสวดมนตร์อธิษฐาน ให้กับหลานที่จะมา แล้วบอกพี่ทิดของนาง ถ้าเขายังอยู่ไม่ไกล ให้ปกปักรักษาลูกหลาน ครอบครัวของนางด้วย…

//..๕..//

เก้าอี้ของนางโยกเยกไปตามแรง ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด อยู่เบาเบา หนังสือวางอยู่บนโต๊ะ ด้านข้าง กับ ถ้วยกาแฟเย็นชืด นางมองข้ามผ่านแว่นที่ปลายจมูกออกไปนอกระเบียง สายลมเอื่อยเฉื่อยไหว เย็นมากแล้ว มองเห็นแสงไฟจากเสาไฟฟ้า ริมถนนที่ตัดขวางหน้าอาคารที่พักของนาง รถยนต์ วิ่งกันขวักไขว่ จุดรอรถประจำทางทั้งสองฟากถนน มีผู้คนรอคอยกันอยู่ประปราย บนรถประจำทางที่แล่นผ่านไป อัดผู้คนไว้แน่นเต็ม เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังมาเป็นระยะๆ…

นาง คิดถึงท้องน้ำพลิ้วสายลมไหลไปทางเหนือ กอผักตบชวา และ หญ้าน้ำ ล่องลอยเอื่อยเฉื่อย ตะวันกลมโตสีส้มคล้อยลับหายไป กับ ทิวไม้ที่ฟากแม่น้ำฝั่งโน้น นางมองข้ามผ่านแว่นที่ปลายจมูกออกไปนอกระเบียง นางเห็นอาคาร ๑๙ชั้น ๓หลัง ตั้งตระหง่าน โครงการที่เจ้าแดงมันทุ่มเทแรงกา รับจ้างทำงานเสร็จแล้ว อีกไม่กี่เดือนนางก็จะไปอยู่บ้านเล็กๆที่นางเคยฝันเอาไว้ ทิ้งห้องนี้ที่เคยเป็นรังรักของนางกับพี่ทิดเอาไว้เบื้องหลัง ทิ้งตะวันกลมโตสีส้มที่ลับทิวไม้ฟากฝั่งโน้นเอาไว้ เพราะถึงอย่างไร

…อาคาร ๓หลังนั้น ก็บดบังเสียจนหมดจนสิ้นแล้ว…